การศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

แนวคิด
1. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง หมายถึง ผลงานวิชาการที่เผยแพร่ในรูปของสื่อสิ่งพิมพ์ นวัตกรรม หรือเทคโนโลยีต่าง ๆ อาทิ เช่น หนังสือ เอกสารและตำรา  ไฟล์ข้อมูลเอกสาร ไฟล์ภาพ โปรแกรมการนำเสนอ โดยสาระมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับเรื่องที่ต้องทำการวิจัย จุดประสงค์หลักคือการหาช่องว่างความรู้ในสาขาวิชาที่จะทำวิจัย จะช่วยให้ไม่ทำการวิจัยซ้ำซ้อนหรือไม่ทำวิจัยในสิ่งที่เป็นที่ทราบผลของการวิจัยนั้นๆ แต่เป็นการค้นคว้าหาคำตอบของคำถามการวิจัยที่ไม่เคยมีผู้ใดวิจัย โดยเฉพาะผู้ที่ทำวิทยานิพนธ์ระดับบัณฑิตศึกษา ผู้วิจัยจำเป็นจะต้องทำการศึกษาเอกสารและงานวิจับที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบ เพราะหัวข้อวิจัยต้องเป็นการวิจัยที่ไม่มีผู้ใดเคยทำมาก่อน อีกทั้งต้องอธิบายว่าสาขาความรู้ของคุณจะได้ประโยชน์อย่างไรจากผลวิจัยที่กำลังจะปฏิบัติ
2. จุดมุ่งหมายสำคัญของการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง คือ การวิเคราะห์และสังเคราะห์ เรียบเรียงผลงานวิจัยที่เกี่ยวกับองค์ความรู้ที่ผู้รู้ทางสาขานี้ได้เคยทำวิจัยไว้ก่อนแล้ว การศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเป็นกิจกรรมสำคัญในการวิจัยที่ขาดไม่ได้ ผู้วิจัยต้องศึกษาและนำเสนอเอกสารและผลงานวิจัยที่เกี่ยวกับองค์ความรู้ที่ต้องการทำวิจัย เพื่อเชื่อมโยงความรู้ที่มีอยู่แล้วกับความรู้ที่จะได้รับจากงานวิจัยที่จะทำ ซึ่งจะช่วยทำให้เกิดความเข้าใจในหัวข้อวิจัยมากขึ้น  ทั้งเป็นการใช้ประโยชน์ในการดำเนินการงานวิจัยของผู้วิจัย ในการวางแผน ออกแบบงานวิจัย และดำเนินการวิจัยให้ได้งานวิจัยที่มีคุณภาพ มีความเที่ยงตรงทั้งภายในและภายนอก
3. การศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเป็นการปฏิบัติการที่มีระบบ ประกอบด้วยขั้นตอนต่าง ๆ ดังนี้ วัตถุประสงค์ในการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ประเภทของการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง แหล่งการศึกษาเอกสารและงานวิจับที่เกี่ยวข้อง วิธีการสืบค้นข้อมูลสำหรับการวิจัย และการอ่านและการจดบันทึก
จุดประสงค์ 
                เมื่อศึกษาแล้วนักศึกษาสามารถ
                1.  บอกความหมายและความสำคัญของการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยได้
                2.  กำหนดจุดมุ่งหมายของการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยในการวิจัยของผู้วิจัยได้อย่างชัดเจน
                3. บอกแหล่งเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง และระบุวิธีการสืบค้นข้อมูลและขั้นตอนการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยในการวิจัยของผู้วิจัยได้
                4. อธิบายแนวปฏิบัติในการอ่านและจดบันทึกการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยในการวิจัยของผู้วิจัยได้

            การศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย ใช้แทนความหมายของคำว่า Literature Review หรือใช้คำว่า การทบทวนวรรณกรรมก็ได้ โดยใช้คำว่าวรรณคดีหรือวรรณกรรมที่มีความหมายครอบคลุมทั้งเอกสารและงานวิจัย ซึ่งหมายถึงผลงานทางวิชาการที่จัดทำขึ้นและเผยแพร่ในรูปสื่อสิ่งพิมพ์ สื่อคอมพิวเตอร์ และสื่ออื่น ๆ เพื่อนำเสนอรายงานการวิจัย บทความทางวิชาการรวมถึงบทความวิจัย บทคัดย่องานวิจัย
                เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย  ตามนัยของเนื้อหาที่สัมพันธ์เชื่อมโยงกับเรื่องที่จะวิจัย ครอบคลุมเอกสารทุกชนิดไม่ใช่เฉพาะรายงานการวิจัยเท่านั้น โดยสาระของเอกสารอาจจะเกี่ยวข้องกับงานวิจัยบางส่วนหรือเกี่ยวข้องกับงานวิจัยทั้งเรื่อง ตัวอย่างเช่น เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการนิยามตัวแปรเท่านั้นที่ถูกนำมาใช้ หรือกรณีที่เป็นเครื่องมือการวิจัยที่ถูกเลือกนำมาใช้เพียงบางเครื่องมือและใช้เป็นแนวทางในการสร้างเครื่องมือวิจัยของผู้วิจัยได้ หรือกรณีที่เป็นบทความที่ผู้วิจัยใช้เขียนในหัวข้อ “ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหาวิจัย” ส่วนที่เกี่ยวข้องกันทั้งเรื่องเป็นกรณีที่เอกสารรายงานการวิจัยนั้นเป็นปัญหาวิจัยเดียวกันกับงานวิจัยที่จะทำ เป็นต้น
                สุชาติ  ประสิทธิรัฐสินธุ์ (2540 : 46) กล่าวสรุปได้ว่า การศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องช่วยให้งานวิจัยมีความสมบูรณ์ และเพิ่มคุณค่างานวิจัย Tuckman (1999 : 48) อธิบายว่าการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องได้ประโยชน์  ดังนี้
                1. เพื่อไม่ทำวิจัยซ้ำซ้อน เมื่อทบทวนเอกสารแล้วจะได้ข้อมูลว่าเรื่องที่จะวิจัยมีใครเคยวิจัยไว้หรือไม่อย่างไร
                2.  เพื่อช่วยในการกำหนดปัญหาวิจัย ขอบเขตการวิจัย นิยามตัวแปร
                3.  เพื่อช่วยให้ได้ข้อมูลว่าเรื่องที่สนใจวิจัย เคยมีการวิจัยแล้วหรือไม่ ใช้เครื่องมือใด วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างอย่างไร
                4. เพื่อนำไปกำหนดกรอบแนวคิดในการวิจัย ที่ได้จากการศึกษาความสัมพันธ์ของตัวแปรต่าง ๆ
                5. เพื่อนำแนวคิดจากการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องมาประมวลให้เห็นความสำคัญของปัญหาในการวิจัย
                6. เพื่อช่วยกำหนดสมมุติฐาน การศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องจะช่วยให้คาดคะเนคำตอบที่พิจารณาจากความสัมพันธ์ของตัวแปร

ความสำคัญของการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย
ความสำคัญของการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย นงลักษณ์ วิรัชชัย (2538 : 11) สรุปไว้ดังนี้
1.  ความสำคัญของการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยในฐานะเป็นเครื่องมือเชื่อมโยงความรู้ทางวิชาการ
การเชื่อมโยงความรู้เดิมกับความรู้ใหม่เป็นความสำคัญอย่างยิ่งในกระบวนการเรียนรู้ตามแนวคิดทฤษฎีสรรค์นิยม (constructivism)  ในการแสวงหาความรู้ด้วยกระบวนการวิจัยนั้นการเชื่อมโยงความรู้เดิมกับความรู้ใหม่ทำได้โดยใช้การศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องนั่นเอง การรายงานการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างสมบูรณ์ จะแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าผู้วิจัยได้ใช้ประโยชน์จากความรู้เดิมอย่างไรกับงานวิจัยของตน และข้อค้นพบจากากรวิจัยนั้นจะช่วยสร้างเสริมองค์ความรู้เดิมได้อย่างไร และส่วนใด
2.  ความสำคัญของการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยในฐานะเป็นเครื่องมือแสวงหาความรู้เพื่อทำการวิจัย
เมื่อผู้วิจัยศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย ผู้วิจัยจะได้รับช้อมูล สารสนเทศ และแนวทางการดำเนินงาน ซึ่งผู้วิจัยจะนำไปกำหนดแผนแบบการวิจัย และดำเนินการวิจัยตามแผนแบบการวิจัยนั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ  ผู้วิจัยที่ศึกษาและนำเสนอรายงานเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยอย่างครบถ้วน และใช้ประโยชน์ถือได้ว่าเป็นผู้ที่มีความรอบรู้ในเรื่องที่ตนทำวิจัยและได้ผลงานวิจัยที่มีคุณภาพ คุณประโยชนร์ที่ผู้วิจัยได้รับจากการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องมี 5 ประเด็น ดังนี้
2.1  ได้แนวคิดทฤษฎี ข้อค้นพบจากการวิจัยและองค์ความรู้เดิมเกี่ยวกับเรื่องที่จะทำวิจัย ผู้วิจัยนำมาใช้ประโยชน์ในการสร้างกรอบแนวคิดสำหรับการวิจัย และใช้เป็นเหตุผลสนับสนุนในการกำหนดสมมุติฐานวิจัยได้อย่างเหมาะสม
2.2  ได้ข้อมูลเกี่ยวสภาพปัจจุบันที่เป็นปัญหา ความเป็นมาของเรื่องที่จะทำวิจัย และแนวทางการใช้ประโยชน์จากการทำวิจัย  ผู้วิจัยใช้ข้อมูลดังกล่าวนี้เขียนงานวิจัยในส่วนที่เกี่ยวข้องกับความเป็นมาและความสำคัญของการวิจัยของผู้วิจัยได้
2.3  ได้ความรู้ที่ช่วยให้ไม่ทำวิจัยซ้ำซ้อน  โดยที่การศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องช่วยให้ได้ความรู้ปัญหาวิจัย ขอบเขตการวิจัย และการนิยามตัวแปรการวิจัย ผู้วิจัยจึงนำความรู้นั้นมาใช้ในการวิจัยของผู้วิจัยให้ชัดเจนและไม่ซ้ำซ้อนการวิจัยที่มีผู้ทำไว้ในอดีตในเรื่องที่ผู้วิจัยสนใจจะทำ
2.4  ได้ความรู้และแนวคิดจากการวิจัยที่ศึกษาปัญหาวิจัยคล้ายกัน ได้ทราบถึงจุดเด่นจุดด้อยของงานวิจัยนั้น ๆ ซึ่งผู้วิจัยสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการวิจัยทุกขั้นตอนและทำให้มีคุณภาพมีความถูกต้องมากกว่าการวิจัยในอดีต โดยนำส่วนที่ดีเด่น เช่น การกำหนดประชากร วิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่าง การสร้างเครื่องมือวิจัยที่ดี การรวบรวมและการวิเคราะห์ข้อมูลที่มีคุณภาพ หลีกเลี่ยงหรือหาทางป้องกันมิให้เกิดปัญหาอันเป็นข้อบกพร่อง หรือจุดด้อยเหมือนอย่างการวิจัยในอดีต
2.5  ได้ข้อค้นพบจากงานวิจัยในอดีต เป็นแนวทางให้ผู้วิจัยนำมาใช้ประกอบกับสมมุติฐานวิจัยเป็นฐานในการอภิปรายผลการวิจัย ว่าได้ผลสอดคล้องหรือขัดแย้งกันอย่างไร ด้วยเหตุผลใด และควรเสนอแนะอย่างไรต่อไป
3.  ความสำคัญของการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยในฐานะเป็นตัวชี้วัดคุณภาพของรายงานการวิจัย
การประเมินคุณภาพของงานวิจัย ส่วนหนึ่งประเมินได้จากคุณภาพของการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัย โดยที่การศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยถูกต้องสมบูรณ์และนำผลการศึกษาไปใช้ประโยชน์ในการวางแผนและการดำเนินการวิจัยแล้ว การวิจัยนั้นย่อมได้ผลดี ได้ผลงานวิจัยที่มีความถูกต้องและตอบปัญหาการวิจัยได้จริง คุณภาพของการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการวิจับจึงเป็นเงื่อนไขหนึ่งที่ทำให้ได้รายงานวิจัยที่มีคุณภาพ อนึ่งคุณภาพของการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องมิได้ขึ้นอยู่กับจำนวนหรือปริมาณของเอกสาร แต่อยู่ที่ลักษณะของเอกสารนั้นว่ามีความเกี่ยวข้องกับการวิจัยอย่างไร มีการนำสาระมาใช้ประโยชน์ในการวิจัยมากน้อยเพียงใด การศึกษาเอกสารและงานวิจัยจำนวนมาก แต่มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ทำวิจัยน้อย และผู้วิจัยมิได้ใช้ประโยชน์จากรายงานการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเลย แสดงว่ารายงานการวิจัยนั้นด้อยคุณภาพ อย่างน้อยก็ด้อยคุณภาพในการเชื่อมโยงความารู้ทางวิชาการ
สรุป การศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องมีความสำคัญในการเชื่อมโยงความรู้เพื่อนำไปสู่ปัญหาวิจัย ขอบเขตการวิจัย การดำเนินการวิจัย การอภิปรายผลการวิจัย เพื่อเพิ่มคุณภาพของงานวิจัย

1. ประเภทของเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
Cooper (1984 : 40 -57); Fraenkel and Wallen (1993 : 59 – 69); Weirsma (1991 : 51 – 63) ได้จัดแบ่งเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยเป็นประเภทต่าง ๆ คือ เอกสารอ้างอิงทั่วไป เอกสารปฐมภูมิ และเอกสารทุติยภูมิ
1.                                     เอกสารอ้างอิงทั่วไป เป็นเอกสารที่ให้ข้อมูล ชื่อผู้เขียน ชื่อเอกสาร ชื่อโรงพิมพ์ เมืองที่พิมพ์ ซึ่งให้สามารถค้นหาเอกสารนั้นๆได้ เอกสารอ้างอิงโดยทั่วไปจำแนกที่ใช้ประโยชน์ได้ดังนี้
1.1 ดัชนีวารสาร (periodical indexs) ดัชนีวารสารเป็นเอกสารอ้างอิงทั่วไปที่มีกำหนดวางจำหน่ายที่แน่นอน  การจัดทำดัชนีวารสารในต่างประเทศมีการแยกประเภทของดัชนี  หรือมีการจำแนดตามสาขาวิชา ตัวอย่างของดัชนีวารสาร ได้แก่ ดัชนีวารสารไทย
1.2 บทคัดย่องานวิจัย(research abstract) เป็นเอกสารอ้างอิงทั่วไป เป็นข้อมูลสำหรับนักวิจัยใช้สืบค้นทั้งที่เป็นการวิจัยในประเทศไทยและต่างประเทศ ตัวอย่างบทคัดย่อได้แก่ เอกสารประกอบการประชุมทางวิชาการ เรื่อง การวิจัยทางการศึกษาและการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา บทคัดย่อวิทยานิพนธ์ และDissertation Abstracts International(DAI)ข้อมูล DAI สำหรับใช้กับคอมพิวเตอร์เรียกว่า Dissertation Abstracts Ondisc(DAO)
1,3 บทคัดย่อบทความ(Article abstracts) ประกอบด้วยข้อมูลที่ช่วยให้นักวิจัยสื้นค้นหาบทความจากวารสารต่าง ๆ ได้ บทคัดย่อบทความต่างจากดัชนีวารสารตรงที่มีบทคัดย่อของบทความจากวารสารด้วยตัวอย่างบทคัดย่อบทความได้แก่ บทความวารสารทางการศึกษา Psychological Abstracts และ Sociology of Education Abstracts
1.4  รายการเอกสาร (Literature List) เป็นที่รวบรวมรายชื่อของสิ่งพิมพ์ จัดทำขึ้นเพื่อเป็นเครื่องมือการสืบค้นว่ามีสิ่งพิมพ์ชนิดใด ลักษณะของสิ่งพิมพ์เป็นอย่างไร บางรายการมีระบุข้อมูลว่า เอกสารนั้นมีอยู่ที่ห้องสมุดหรือสถาบันใด ตัวอย่างได้แก่ บรรณานุกรมสิ่งพิมพ์สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาห่งชาติ บรรณานุกรมแห่งชาติของหอสมุดอห่งชาติ กรมศิลปากร Union List of Serials in Thailand บัตรารายการ(Card Catalog) และฐานข้อมูลซีดีรอม(CD-ROM) และคุ๋มือวิชาการค้นหาหนังสือที่อยู่ระหว่างการพิมพ์(Subject Guide to Book in Print)
2.เอกสารปฐมภูมิ (Primary Literature) เป็นเอกสารที่ผู้เขียนผลงานวิชาการนำเสนอผลงานตนเองโดยตรง เนื้อหาสาระในเอกสารเกิดจากการศึกษางานวิชาการ และนำมาพิจาราไตร่ตรอง และใช้ประสบการณ์มาบูรณาการสารสนเทศเป็นผลงานวิชาการ เอกสารประเภทนี้มีความน่าเชื่อถือสูง เอกสารปฐมภูมิที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยทางการศึกษามี 3 ประเภท  ดังนี้
2.1 บทความวิชาการ และบทความวิจัยในวารสารวิชาการ บทความที่ตีพิมพ์ในวารสารวิชาการเป็นเอกสารปฐมภูมิที่มีความทันสมัยและเป็นประโยชน์ในการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ตัวอย่างได้แก่ ข่าวสารการวิจัยการศึกษา วิธีวิทยาการวิจัย คุรุปริทัศน์ American Educational Research Journal, Educational Administration Quaterly และ Journal of educational Psychology เป็นต้น
2.2 รายงานการวิจัย เป็นผลงานการวิจัยของบุคคลหรือหน่วยงานที่มีหน้าที่โดยตรงกับการวิจัย มีสาระเนิ้อหาที่ครบถ้วนสมบูรณ์มากกว่าบทความวิจัยที่ตีพิพม์ในวารสาร  ตัวอย่างได้แก่ รายงานวิจัยที่จัดทำเป็นผลงานวิชา รายงานวิจัยของหน่วยงานต่าง ๆ เช่น สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตรืและเทคโนโย(สสวท) หน่วยศึกษานิเทศก์ เป็นต้น ในต่างประเทศ เช่น UNESCO; IDRC, RELC เป็นต้น
2.3 งานวิจัยที่เป็นผลส่วนหนึ่งของการศึกษาเพื่อรับปริญญา เอกสารปฐมภูมินี้เป็นผลงานของนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา ซึ่งมีความสมบูรณ์ในด้านการนำเสนอ เนื่องจากไม่การจำกัดความยาวหรือจำนวนคำเหมือนการเสนอในบทความในวารสารวิชาการ  แต่อาจไม่สมบูรณ์ในเชิงคุณภาพงานวิจัยบ้าง เนื่องจากผู้วิจัยคือนักศึกษายังมีประสบการณ?ในการวิจัยน้อย และมีเวลาในการทำวิจัยค่นข้างจำกัด
3. เอกสารทุติยภูมิ (Secondary Literature) เป็นเอกสารที่เกิดจากการศึกษา ปริทัศน์(review)ผลงานวิชาการของคนอื่นแล้วนำเสนอเป็นผลงานวิชาการ จึงมีความน่าเชื่อถือน้อยกว่าเอกสารปฐมภูมิ แต่เอกสารทุติยภูมิให้สาระที่เกิดจากการจัดระเบียบความรู้ไว้เป็นหมวดหมู่และผ่านการสังเคราะห์เป็นอย่างดี ช่วยให้ผู้วิจัยใช้เวลาน้อยกว่าในการติดตามศึกษาจากเอกสารปฐมภูมิ  เอกสารทุติยภูมิที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยทางการศึกษา จัดแบ่งเป็น 6 ประเภท ดังนี้
3.1 หนังสือ หรือ ตำรา  เป็นผลงานวิชาการที่เกิดจากการศึกษาค้นคว้าวิจัยของผู้เขียน และนำเสนอในรูปแบบของหนังสือหรือตำรา การที่ผู้เขียนหนังสือหรือตำราต้องอ้างอิงผลการวิจัยหรือแนวคิดทฤษฎีของนักวิชาการมาใช้ประกอบกับความรู้ ความคิดและประสบการณ์ของผู้เขียน ดังนั้นเนื้อหาสาระส่วนใหญ่จึงให้ข้อมูลแหล่งทุติยภูมิ แต่มีบางส่วนเป็นข้อมูลปฐมภูมิได้
3.2  หนังสือที่รวบรวมคำศัพท์เรียงตามลำดับตัวอักษร เอกสารทุติยภูมินี้ คือ พจนานุกรม(Dictionary) ปทานุกรม และศัพทานุกรม เป็นเอกสารที่มีคำอ่านออกเสียง ความหมาย และหน้าที่ของคำ พร้อมยกตัวอย่างการใช้คำ เป็นประโยชน์ต่อผู้วิจัยในฐานะเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้วิจัยศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องเข้าใจได้ชัดเจน
3.3  หนังสือที่ประมวลความรู้เกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ เขียนโดยนักวิชาการผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาที่เกี่ยวข้อง เอกสารทุติยภูมินี้คือ สารานุกรม (Encyclopedia) มีการจัดพิมพ์เป็นชุด  แต่ละชุดมีหลายเล่ม มีการจัดเรียงตามลำดับอักษรเพื่อให้ค้นหาได้ง่าย  ตัวอย่างได้แก่ สารนุกรมศึกษาศาสตร์ ของ มศว. Encyclopedia of Education, Encyclopedia of Education Research และ Encyclopedia of Higher Education เป็นต้น
3.4 ปริทัศน์งานวิจัย (Research Review) นักวิชาการได้รวบรวมรายงานการวิจัยที่ศึกษาปัญหาวิจัยเดียวกันมาสังเคราะห์ให้ได้องค์ความรู้ รวมถึงนำเสนอจุดเด่น จุดด้อยของงานวิจัย พร้อเสนอแนะแนวทางศึกษาค้นคว้าวิจัยต่อไป ผลการสังเคราะห์รายงานวิจัยนี้เรียกว่า ปริทัศน์งานวิจัย ตัวอย่างได้แก่ Review of Educational Research; Psychological Review และComparative Education Review เป็นต้น
3.5 หนังสือเสนอรายงานการสังเคราะห์งานวิจัยและบทความทางวิชาการในสาขาวิชาหนึ่ง ๆ เป็นเอกสารทุติยภูมิที่เขียนโดยผู้ทรงคุณวุฒิ เป็นคู่มือ(Handbooks) สาระสำคัญของคู่มือช่วยให้ผู้วิจัยทราบว่ามีการศึกษาค้นคว้าและวิจัยในสาขาวิชานั้นอย่ารงไรบ้าง องค์ความรู้ในเรื่องนั้นเป็นอย่างไรและมีบรรณานุกรมครบสมบูรณ์ที่ผู้วิจัยจะติดตามศึกษาต่อไป ตัวอย่างได้แก่ Handbooks of Research on teaching; Methodology and Measurement : International Handbooks
3.6 รายงานประจำของหน่วยงาน หน่วยงานองค์กร สมาคม สำนักงาน สถาบันต่าง ๆทั้งรัฐบาลและเอกชน จะมีการจัดรายงานประจำปี(Yearbooks) เพื่อรายงานสถิติต่าง ๆ ตัวอย่างได้แก่ สถิติการสึกษาของกรมต่าง ๆ สังกัดกระทรวงศึกษาธิการม The National Society for the Study of Education (NSSE) Yearbook
2. วัตถุประสงค์ในการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย
                การศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยมีจุดมุ่งสำคัญ คือ เพื่อให้ได้ข้อมูล สารสนเทศที่นำไปใช้กำหนดปัญหาวิจัย การวางแผนการวิจัย ให้ตอบปัญหาการวิจัย การดำเนินการวิจัยให้ได้ผลงานวิจัยที่มีคุณภาพ  และสามารถสรุปอ้างอิงผลงานวิจัยได้อย่างกว้างขวาง ซึ่งนงลักษณ์ วิรัชชัย(2538 : 13-14) สรุปไว้ว่ามีจุดมุ่งหมายย่อย 3 ประการ ดังนี้
                1.  เพื่อกำหนดปัญหาวิจัยที่ดีและชัดเจน ปัญหาการวิจัยที่ดีมีลักษณะที่สำคัญคือ ข้อความที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรที่ศึกษา เป็นปัญหาที่ยังไม่เคยมีผู้ใดทำมาก่อน เป็นปัญหาที่สามารถหาคำตอบได้จากการวิจัย ภายใต้ความรู้ความสามารถของผู้วิจัย ผู้วิจัยจะระบุปัญหาการวิจัยได้ดีเป็นผลมาจากการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง แสดงถึงผู้วิจัยมีความรู้เกี่ยวกับปัญหาวิจัย และเข้าใจปัญหาวิจัยอย่างกระจ่างแจ้งอีกด้วย จึงกล่าวว่าว่า จุดมุ่งหมายในขั้นนี้คือ การศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องก่อนที่ผู้วิจัยจะได้ปัญหาวิจัย หรือเป็นการสำรวจและทำความกระจ่างชัดในปัญหาวิจัยนั่นเอง
                2.  เพื่อกำหนดกรอบแนวคิดในการวิจัย และกำหนดสมมุติฐานการวิจัย  การศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยจะช่วยให้ผู้วิจัยได้สารสนเทศเกี่ยวกับ ตัวแปรที่ศึกษา ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร ได้แนวคิดทฤษฎี และผลการวิจัยที่ผ่านมา ซึ่งผู้วิจัยจะนำไปใช้ประโยชน์ในการสร้างแนวคิดการวิจัย และเขียนสมมุติฐานวิจัยที่ดีได้
                3.  เพื่อให้ได้สารสนเทศในการกำหนดแผนแบบ และวิธีการวิจัย จุดมุ่งหมายนี้เป็นจุดมุ่งหมายเฉพาะการสังเคราะห์รายงานการวิจัย ผู้วิจัยจะได้แนวทางหรือข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการดำเนินการวิจัย ดังนี้
                3.1 ขอบเขตของการวิจัย  การศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยจะช่วยให้ผู้วิจัยกำหนดขอบเขตของการวิจัย ควรกำหนดแหล่งข้อมูลที่ประกอบด้วยประชากรและกลุ่มตัวอย่างอย่างไรและมีขนาดเท่าไร เพื่อให้ได้ผลการวิจัยที่สร้างองค์ความรู้หรือขยายความรู้ที่ได้จากงานวิจัยที่มีผู้ทำไว้แล้ว
                3.2  แบบแผนการวิจัย การศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยทำให้ได้สารสนเทศว่าแบบแผนการวิจัยที่ใช้เหมาะสมหรือไม่เพียงใด จะต้องปรับเปลี่ยนหรือเลือกแบบแผนการวิจัยอะไรเพื่อให้ได้ผลงานวิจัยที่ดีกว่า
                3.3  เครื่องมือวิจัยและการรวบรวมข้อมูล จากการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยช่วยผู้วิจัยได้ทราบว่าการวิจัยในอดีตใช้เครื่องมือวิจัยอะไร มีคุณภาพมากน้อยเพียงใด ถ้าจะนำเครื่องมือดังกล่าวมาใช้ควรทำอย่างไร ในกรณีที่เครื่องมือวิจัยเดิมด้อยคุณภาพ จะต้องมีการสร้างเครื่องมือวิจัยขึ้นใหม่หรือไม่ และการเก็บรวบรวมข้อมูลควรพืจรณาตัดสินใจว่าจะใช้วิธีการใดจึงจะได้ข้อมูลและผลการวิจัยที่มีความเที่ยงตรง(Validity)สูง
                3.4  วิธีการวิเคราะห์และแปลความหมายจากข้อมูล การศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยช่วยให้ผู้วิจัยเลือกวิธีการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อตอบปัญหาวิจัย เนื่องจากปัญหาวิจัยแต่ละปัญหาสามารถวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อตอบปัญหาวิจัยได้หลากหลายวิธี แต่ละวิธีมีข้อดี-จุดเด่นและข้อจำกัด-จุดด้อยแตกต่างกัน โดยเฉพาะจะใช้วิธีการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างไร แปลความหมายของผลการวิเคราะห์อย่างไร เพื่อให้การวิจัยมีความเที่ยงตรงภายนอกสูง
                3.5  การอภิปรายผลการวิจัยและข้อเสนอแนะ หากผู้วิจัยศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยอย่างรอบคอบ  ผู้วิจัยจะได้ข้อมูลสารสนเทศจากข้อค้นพบดังกล่าวเป็นฐานในการเปรียบเทียบอภิปรายผลการวิจัยได้อย่างกว้างขวางมากขึ้นและได้แนวทางในการให้ข้อเสนอแนะที่กว้างขวาง
                3.6 การนำเสนอรายงานการวิจัย ผู้วิจัยที่ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยมากมากย่อมเห็นจุดเด่น จุดด้อยของการนำเสนอรายงานการวิจัย และนำความรู้มาปรับปรุงวิธีการเสนอรายงานการวิจัยของตนให้มีคุณภาพได้
                กล่าวโดยสรุป จุดมุ่งหมายของการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยเพื่อให้ได้สาสนเทศที่สำคัญและจำเป็นในการวิจัย เพื่อให้ได้ปัญหาวิจัยที่ไม่ซ้ำซ้อนและและแก้ปัญหาได้ด้วยการวิจัย จากนั้นนำปัญหาวิจัยไปดำเนินการตามกระบวนการวิจัยที่ใช้บทเรียนจากงานวิจัยในอดีตในการปรับเปลี่ยนเพื่อให้ได้ผลงานวิจัยที่มีความเที่ยงตรงภายในและเที่ยงตรงภายนอก ทั้งนี้การศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยจะช่วยให้ผู้วิจัยเกิดแง่คิดและมุมมองในการนำผลการวิจัยไปใช้ประโยชน์และการเผยแพร่การวิจัยของตนในอนาคต

3 แหล่งเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
                การศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย จะต้องอาศัยความรู้ทักษะและความสามารถ 4 ด้าน คือ
                1.  ความรู้ของผู้วิจัย ผู้วิจัยจะต้องสามารถบอกได้ว่าเอกสารและงานวิจัยอะไรที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัยของตน
                2.  ทักษะในการแสวงหา/สืบค้นเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัยของตน
                3.  ความสามารถในเทคนิควิธีเพื่อให้ได้เอกสารและงานวิจัยมาได้สาระตามที่ผู้วิจัยต้องการ
                4.  ความสามารถในการนำเสนอสารสนเทศ ที่ได้จากการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย
                นงลักษณ์ วิรัชชัย (2538 : 10) กล่าวว่า สิ่งสำคัญที่จะช่วยให้นักวิจัยศึกษาและนำเสนอรายงานเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยได้อย่างมีคุณภาพมี 3 ประการ คือ
1.             ผู้วิจัยเห็นคุณค่าและความสำคัญของการศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย
2.             ผู้วิจัยมีจุดมุ่งหมายชัดเจนในการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย
3.             ผู้วิจัยมีความรู้เพียงพอที่จะสามารถศึกษาและนำเสนอรายงานเอกสารที่เกี่ยวข้องได้
การศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง หรืออาจเรียกว่าการทบทวนวรรณกรรม ผู้วิจัยสามารถศึกษาค้นคว้าจากแหล่งข้อมูลวิชาการ ได้แก่ หอสมุดแห่งชาติ ห้องสมุดของสถาบันการศึกษา การสืบค้นหาจากระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต เป็นต้น เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องที่ผู้วิจัยสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้มีหลากหลายที่สามารถค้นหาได้จากห้องสมุดซึ่งเป็นแหล่งวิทยาการที่สำคัญ ในปัจจุบันมีห้องสมุดอีเล็คทรอนิคส์ที่ช่วยให้มีความสะดวกในการเข้าถึงเอกสารได้ จะกล่าวรายละเอียดในหัวข้อวิธีการสืบค้นข้อมูลสำหรับการวิจัย

4. วิธีการสืบค้นข้อมูลสำหรับการวิจัย
                การสืบค้นเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง จัดเป็นการสืบค้นจากเอกสารโดยตรง กับสืบค้นด้วยคอมพิวเตอร์ นงลักษณ์ วิรัชชัย (2538 : 28) กล่าวสรุปว่าการสืบค้น มี  4 ขั้นตอน คือ
                1.  การเลือกเอกสารอ้างอิงทั่วไป ในการสืบค้นเอกสารทั่วไปโดยตรงที่เป็นการสืบค้นด้วยมือนั้นผู้วิจัยเลือกใช้ได้ทุกประเภท แต่การสืบค้นด้วยคอมพิวเตอร์ต้องอาศัยฐานข้อมูล
                2.  ระบุคำสำตัญ (Keywords) ผู้วิจัยจะนำคำสำคัญที่กำหนดจากปัญหาวิจัย หรือเรื่องที่จะวิจัยมาตรวจสอบว่าตรงกับคำสำคัญในดัชนีเอกสารอ้างอิงที่เลือกไว้หรือไม่ คำสำคัญที่ใช้อาจไม่มีตรงกัน ให้ใช้คำที่มีความมหายที่กว้างกว่าก็ได้ 
                3.  ปฏิบัติการสืบค้น เริ่มการสืบค้นจากเอกสารที่ใหม่ล่าสุดก่อนโดยใช้คำสำคัญเป้นเครื่องนำทาง และสืบค้นเล่มล่าสุดแล้วย้อนหลังไปจนหมดจำนวนฉบับที่กำหนดไว้ ในที่นี้ผู้วิจัยอาจจะขยายหรือลดขอบเขตการสืบค้นจนกว่าจะได้รายการเอกสารครบตามที่ต้องการ กรณีที่เป็นการสืบค้นด้วยคอมพิวเตอร์จะสะดวกยิ่งขึ้นเพียงแต่ระบุคำสำคัญ เงื่อนไขที่ต้องการคือช่วงเวลาใด เป็นต้น
                4. เมื่อได้เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องามที่ต้องการ ผู้วิจัยจะต้องบันทึกข้อมูลเพื่อการอ้างอิงให้ครบถ้วน แต่ถ้าเป็นการสืบค้นด้วยคอมพิวเตอร์ก็สั่งพิมพ์ข้อมูลให้เลย
                การสืบค้นที่เป็นเอกสารอ้างอิงจัดทำโดย ERIC ซึ่งได้จัดพิมพ์คู่มือคำสำคัญชื่อ thesaurus of ERIC Descriptors ไว้ช่วยให้นักวิจัยกำหนดคำสำคัญหรือคำค้นได้สะดวก

5. การอ่านและการจดบันทึก
                การอ่านและการจดบันทึกเป็นกิจกรรมที่ผู้วิจัยต้องมั่นใจว่าสาระสำคัญตรงตามเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องที่นำมาสังเคราะห์ ถ้าสาระเบี่ยงเบนไปจากต้นฉบับ  หรือขาดความสมบูรณ์ ย่อมส่งผลต่อรายงานการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องด้อยคุณภาพ การอ่านและการจดบันทึก ประด้วยกิจกรรมย่อย 3 กิจกรรม คือ อ่านเพื่อคัดเลือกเอกสาร อ่านแบบคิดวิเคราะห์เพื่อประเมินคุณภาพเอกสาร และอ่านเพื่อความเข้าใจและจดบันทึกอย่างมีระบบ รายละเอียดดังต่อไปนี้
1.  การอ่านเพื่อคัดเลือกเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง  ผู้วิจัยใช้วิธีการอ่านคร่าว ๆ เพื่อพิจารณาคัดเลือกเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องที่ต้องการที่ตรงกับงานวิจัยของตนเอง และแยกประภทตามระดับความเกี่ยวข้องคือตรงงานวิจัยของผู้วิจัยหรือเกี่ยวข้องกับงานของผู้วิจัย กรณีที่เป็นการอ่านหนังสือ ผู้วิจัยใช้วิธีการอ่านจากสารบัญ บทนำ บทสรุปของหนังสือ รวมถึงบทสรุปในแต่ละบทที่ต้องการใช้ กรณีเป็นรายงานวิจัยจะอ่านจากบทคัดย่อ บทนำและบทสรุป ถ้าเป็นบทความใช้วิธีอ่านจากหัวข้อ บทนำและบทสรุปของบทความ เป็นต้น 
2.  การอ่านเพื่อประเมินคุณภาพเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเป็นการอ่านแบบคิดวิเคราะห์  Sotiriou (1984 : 32 – 151); Wiersma (1991 : 69 – 74) และ Fraenkel and Wallen (1993 : 69 -70) สรุปว่า ทักษะที่ใช้ในการอ่านแบบคิดวิเคราะห์มีดังนี้
2.1  การอ่านให้ได้ใจความสำคัญ มีวิธีการดังนี้
   2.1.1 พิจารณาจากชื่อเรื่อง จได้ความคิดว่ามีสาระเกี่ยวกับอะไร รายงานวิจัยหรือวิทยานิพนธ์หรือปริญญานิพนธ์ส่วนใหญ่มีชื่อเรื่องที่ชัดเจนและสื่อความ แต่หนังสือหรือบทความบางเรื่องอาจมีการตั้งชื่อเรื่องดึงดูดความสนใจ และไม่สื่อความโดยตรงถึงสาระเนื้อหา
2.1.2 พิจารณาจากโครงร่างการนำเสนอ การศึกษาโครงร่าง(Outline)ของเอกสารช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจความคิดสำคัญ ในขั้นนี้ผู้อ่านควรศึกษาสารบัญ หรือหัวข้อชองเอกสารให้ได้โครงร่างของเอกสาร
2.1.3 พิจารณาความคิดสำคัญในตอนต้น และตอนท้าย เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องที่ศึกษาส่วนใหญ่จะมีบทนำและบทสรุปซึ่งให้สาระที่เป็นความคิดสำคัญ เนื้อหาแต่ละย่อหน้าจะมีประโยคสำคัญ(Key Sentence)ที่เป็นความคิดสำคัญของย่อหน้านั้นอยู่ตอนต้นหรือตอนท้ายของย่อหน้าด้วย ในการจึงอาจขีดเส้นใต้ที่ประโยคสำคัญนี้
2.1.4 พิจารณาจากคำที่เป็นเครื่องชี้ความคิดสำคัญ เช่นคำว่า โดยสรุป กล่าวโดยย่อ จากเหตุผลที่กล่าวมาแล้วจะเห็นได้ว่า ฯลฯ คำต่าง ๆ ดังกล่าวนี้นำทางไปสู่ความคิดสำคัญทั้งสิ้น
2.2 การอ่านเก็บรายละเอียด โดยทั่วไปในแต่ละย่อหน้าเมื่อมีประโยคสำคัญแล้ว จะมีรายละเอียดขยายหรือสนับสนุนความในประโยคนั้น รายละเอียดอาจอยู่ในรูปการยกตัวอย่าง ขั้นตอน ลักษณะที่เป็นสาเหตุและผล กรณีที่ผู้อ่านเข้าใจความคิดสำคัญอาจจะข้ามรายละเอียดเหล่านี้ไป แต่การอ่านรายละเอียดดังกล่าวนี้จะช่วยให้มีความเข้าใจที่กระจ่างชัดขึ้น ผู้วิจัยอาจทำเครื่องหมายไว้ที่ขอบเอกสาร เขียนระบุว่าจะนำไปใช้ประโยชน์ในเรื่องใด เช่น เขียนไว้ว่า “การนิยาม” เป็นการนำสาระสำคัญไปใช้นิยามตัวแปร เป็นต้น
2.3 การอ่านเพื่อการจัดระเบียบความคิด การที่ผู้อ่านเข้าใจรูปแบบการจัดระเบียบความคิดของผู้เขียน จะช่วยให้ถึงตรรกของข้อความที่อ่านได้ดีขึ้น รูปแบบการจัดระเบียบความคิดมีหลายแบบ เช่น แบบสาเหตุ-ผล แบบนิยาม แบบลำดับเหตุการณ์ แบบหลักการ-ตัวอย่าง แบบเปรียบเทียบความคล้ายคลึง(Compare) แบบเปรียบเทียบความแตกต่าง(contrast) และแบบบรรยาย
2.4 การอ่านแบบอนุมาน ผู้เขียนบางคนมิได้เขียนให้อ่านตรงไปตรงมา ผู้อ่าน้องอนุมานจากสาระที่ได้อ่าน การอ่านนี้รู้จักกันว่าเป็นการอ่านระหว่างบรรทัด(Read between the lines) วิธีการอ่านใช้การสังเกตจากศัพท์และคำที่ผู้เขียนเลือกใช้ เช่น เมื่อผู้เขียนเข้าใจชัดแจ้ง เชื่อมั่นได้ จะใช้คำว่า อย่างแน่นอน ทั้งหมด เห็นได้ชัดเจน เป็นต้น ส่วนคำศัพท์ที่แสดงว่าผู้เขียนยังสงสัยติดใจไม่เชื่อมั่นเต็มที่ จะใช้คำว่า ส่วนใหญ่ นานๆครั่ง เกือบจะไม่ เป็นต้น หรือกรณีที่ผู้เขียนยังไม่แน่ใจ มีข้อสงสัยอยู่ จะใช้คำว่า ไม่แน่ใจว่า ยังเป็นที่สงสัยว่า เป็นต้น
การอ่านแบบคิดวิเคราะห์ดังกล่าวนี้ ผู้อ่านอาจจะต้องอ่านหลายรอบจึงจะเข้าใจ เมื่อเข้าใจแล้วต้องสรุปความ(Summarize) และถอดความ (Paraphase) เพื่อนำสาระที่ได้ไปประเมินคุณภาพงานและจดบันทึกต่อไป นงลักษณ์ วิรัชชัย (2538 : 33) ได้ยกตัวอย่างเปรียบเทียบ ข้อความย่อความและถอดความไว้ ดังนี้
ข้อความ : การวิจัยมุ่งอธิบายมีเป้าหมายเพื่อศึกษาความสันพันธ์เชิงสาเหตุระหว่างตัวแปรสองตัวขึ้นไป เป็นการค้นหาว่าความแตกต่างหรือความเปลี่ยนแปลงในตัวแปรหนึ่ง(ตัวแปรที่เป็นต้นเหตุ หรือตัวแปรอิสระ) ทำให้เกิดความแตกต่างหรือความเปลี่ยนแปลงในตัวแปรอีกตัวแปรหนึ่ง (ตัวแปรตาม)อย่างไร ความเปลี่ยนแปลงในตัวแปรตามสอดคล้องหรือขัดแย้งกับความเปลี่ยนแปลงในตัวแปรต้น
หัวข้อวิจัยในการวิจัยมุ่งอธิบายที่สำคัญมีวิธีการวิจัย 2 แบบ หัวข้อวิจัยแบบแรกเป็นการศึกษาเปรียบเทียบ เช่น การศึกษาเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนระหว่างกลุ่มที่มีแรงจูงใจในการเรียนสูงและกลุ่มที่มีแรงจูงใจในการเรียนต่ำ ในกรณีนี้นักวิจัยเชื่อว่า กลุ่มนักเรียนที่มีแรงจูงใจในการเรียนสูงจะมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยเฉลี่ยสูงกว่ากลุ่มที่แรงจูงใจในการเรียนต่ำ ส่วนหัวข้อวิจัยแบบที่สองเป็นการศึกษาความสัมพันธ์ เช่น การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างแรงจูงใจในการเรียนและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน ในกรณีนี้นักวิจัยเชื่อว่านักเรียนที่มีแรงจูงใจในการเรียนสูงจะมีผลสมฤทธิ์ทางการเรียนสูงด้วย

ย่อความ : การวิจัยมุ่งอธิบายมีเป้าหมายการวิจัยเพื่อศึกษาความสัมพันธ์เชิงสาเหตุระหว่างตัวแปรสองตัวขึ้นไป เป็นการค้นหาว่าความเปลี่ยนแปลงในตัวแปรอิสระทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในตัวแปรตามอย่างไร หัวข้อการวิจัยมี 2 แบบ แบบแรกเป็นการศึกษาเปรียบเทียบ ส่วนแบบที่สองเป็นการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร

ถอดความ  เป้าหมายของการวิจัยมุ่งอธิบาย คือ การศึกษาความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรอิสระ(สาเหตุ) กับตัวแปรตาม (ผล) ว่า ถ้าค่าของตัวแปรอิสระเพิ่มขึ้นจะมีผลทำให้ค่าของตัวแปรตามเปลี่ยนไปอย่างไร หัวข้อวิจัยสำหรับการวิจัยมุ่งอธิบายจึงมีได้ 2 บบ คือ การศึกษาเปรียบเทียบว่าค่าเฉลี่ยตัวแปรตามในกลุ่มที่ตัวแปรอิสระมีค่าสูง หรือต่ำกว่ากลุ่มที่ตัวแปรอิสระมีค่าต่ำแบบหนึ่ง อีกแบบหนึ่งคือการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรทั้งสอง
ทักษะการย่อความและการถอดความมีความสำคัญและจำเป็นในการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เป็นประโยชน์ต่อการอ่านเพื่อนำความคิดสำคัญมาจดบันทึกสาระที่ได้จากการอ่าน และการประเมินคุณภาพเอกสาร

3. การจดบันทึกสาระที่ได้จากการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
การจดบันทึกสาระที่ได้จากการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง มีจุดมุ่งหมายเพื่อนำสาระที่ได้จากการอ่านทั้งหมดมาวิเคราะห์เชื่อมโยงในลักษณะบูรณาการเข้าด้วยกัน ต้องมีการเปรียบเทียบสาระแต่ละตอนจากเอกสารทุกเรื่อง จึงอาจจำเป็นที่จะต้องเรียงส่วนที่เป็นหัวเรื่องเดียวกันจากเอกสารทุกเรื่อง โดยตัดมาเฉพาะส่วน ด้วยเหตุนี้การจดบันทึกจึงจดแยกเป็นแผ่น ๆ เพื่อสะดวกในการนำมาจัดเรียงใหม่ที่เรียกว่าสังเคราะห์สาระ
Fraenkel and WAllen (1993 :70); Bell (1993 : 24 – 31); Sotiriou (1984 : 167 – 177) และ Wiersma (1991 : 69 – 79) สรุปหลักวิธีการจดบันทึกไว้ดังนี้
1.  ทำบัตรอ้างอิง โดยบันทึกขั้อมูลบรรณานุกรมที่สมบูรณ์ พร้อมกับให้รหัสเพื่อใช้งานต่อเนื่องเพียงระบุเลขในบัตรอื่น ๆ เช่น กรณีบัตรใบแรกให้เป็นรหัส 001 บัตรใบต่อไปให้ระบุเพียงเลข 001 ซึ่งหมายถึงเอกสารที่ทำบรรณานุกรมที่สมบูรณ์ไว้แล้วที่บัตรหมายเลข 001 
2.  จดบันทึกสาระแต่ละหัวข้อสำคัญแยกจากกัน(แต่ละบัตร หรือแยกกระดาษแต่ละแผ่น และมีเลขหน้าของเอกสารกำกับเพื่อประโยชน์ในการอ้างอิง) เช่น บันทึกรายงานการวิจัยใช้หัวข้อสำคัญ คือ ปัญหาวิจัย วัตถุประสงค์การวิจัย ตัวแปรในการวิจัย ทฤษฎี/ในกรอบแนวคิดการวิจัย สมมุติฐานการวิจัย วิธีดำเนินการวิจัย (แบบแผนการวิจัย ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง เครื่องมือวิจัยและวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล) ผลการวิจัย สรุปผลและข้อเสนอแนะ
3. กรณีที่ต้องการอ้างอิงแบบ “การคัดข้อความ(Quotation)” ควรถ่ายเอกสาร พร้อมาระบุเลขหน้าเอกสารนั้นด้วย
4. จดบันทึกความคิดและข้อคำถามของผู้วิจัยที่เกิดขึ้นเมื่ออ่านเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เช่น ไม่ทราบความหมายของคำสำคัญ ต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมในเรื่องใด หรือผู้วิจัยไม่รู้จักแบบแผนการวิจัยที่ใช้ในรายงานการวิจัย หรือความคิดเห็นว่า สาระของเอกสารและงานวิจัยนั้นเกี่ยวข้องกับงานวิจัยอย่างไร ตรงกัยประเด็นคำถามในการวิจัยข้อใด  เป็นต้น
5. เมื่อจดบันทึกบรรณานุกรมไว้ท้ายเอกสารที่อ่าน เลือกเฉพาะรายการที่สนใจศึกษาเพิ่มเติมไว้ในบัตรดัชนี เพื่อเป็นแนวทางในการสืบค้นเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องต่อไป

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

พัฒนาการแสวงหาความรู้ของมนุษย์

กรอบแนวคิดในการวิจัย

ตัวแปรในการวิจัยและการวัดค่าตัวแปร