กรอบแนวคิดในการวิจัย

กรอบแนวคิดในการวิจัยคืออะไร?  เราอาจจะให้นิยามของกรอบแนวคิดในการวิจัยว่า หมายถึงการอธิบายปรากฏการณ์ที่กำลังศึกษา หรือการทำความเข้าใจกับสิ่งที่กำลังศึกษา ซึ่งมักจะเกี่ยวข้องกับ ประชากร ตัวแปร และความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรที่กำลังศึกษา ดังนั้นกรอบแนวคิดจึงอาจจะอยู่ในรูป ของการพรรณนาด้วยข้อความ การแสดงด้วยสมการทางคณิตศาสตร์ การแสดงด้วยแผนภาพ การแสดงด้วยแบบจำลองหรือการผสมผสานกันหลายแบบก็ได้แต่ที่เป็นที่นิยมกันโดยทั่วไปก็คือ เป็นการสร้างสัญญาลักษณ์แทนปรากฏการณ์ที่กำลังศึกษาซึ่งโดยปกติแล้วปรากฏการณ์ทางการศึกษาที่เรากำลังทำความเข้าใจนั้นมักจะอยู่ในรูปที่เป็นมโนทัศน์ (Concepts) และมีลักษณะเป็นนามธรรมซึ่งมักจะเข้าใจยากและอาจจะทำให้เข้าใจไม่ตรงกันได้ระหว่างผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ผู้วิจัยและผู้ที่เกี่ยวข้องสามารถเข้าใจปรากฏการณ์ทางการศึกษาที่กำลังศึกษาได้ง่ายขึ้น จะเขียนแทนด้วยสัญญาลักษณ์ซึ่งมีลักษณะเป็นรูปธรรม เช่นเขียนเป็นแผนภาพ (Diagram) แต่การใช้แผนภาพแทนปรากฏการณ์นั้นก็มิได้สร้างขึ้นตามอำเภอใจของผู้วิจัย แต่จะต้องมีทฤษฎีรองรับด้วยเสมอ บางครั้งจึงอาจถูกเรียกอีกในชื่อหนึ่งว่า กรอบแนวคิดเชิงทฤษฎี (Theoretical framework) 
                ลักษณะของกรอบแนวคิดในการวิจัย โดยทั่วไปแล้วมักจะเขียนแผนภาพแทนกรอบแนวคิดในการวิจัยที่เป็นพื้นฐานที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร 2 ตัว เช่นปรากฏการณ์ อิทธิพลของภาวะผู้นำของผู้บริหารโรงเรียนที่ส่งผลต่อผลการเรียนของนักเรียน ก็อาจเขียนเป็นกรอบความคิดแทนได้ดังนี้
                                   ตัวแปรต้น                                                           ตัวแปรตาม



ภาพที 3.1 กรอบแนวคิด ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต้น 1 ตัวและตัวแปรตาม 1 ตัว
หรือแสดงแทนคำอธิบายปรากฏการณ์ที่มีความซับซ้อนมากๆ ดังเช่น
ภาพที่ 3.2 กรอบแนวคิด ความสัมพันธ์สมการโครงสร้างพหุระดับ ปัจจัยที่ส่งผลต่อความผูกพันต่อองค์การ
                ลักษณะกรอบแนวคิดที่ดี ควรเป็นกรอบแนวคิดที่ตรงประเด็นในด้านเนื้อหาสาระตัวแปรที่ต้องการศึกษา  มีความสอดคล้องกับคำถามวิจัยมีความง่ายและไม่สลับซับซ้อนมาก  และสามารถใช้แทนสมมุติฐานในการวิจัย ซึ่งในกรณีนี้ก็จะถูกเรียกว่า กรอบแนวคิดเชิงสมมุติฐาน (Hypothetical framework) นอกจากนี้กรอบแนวคิดที่จะนำมาใช้ในการวิจัยจะต้องมีประโยชน์ต่อการดำเนินการวิจัยขั้นต่อ ๆ ไป โดยเฉพาะในขั้นการรวบรวมข้อมูล ขั้นการออกแบบการวิจัย ขั้นการวิเคราะห์และการตีความหมายผลการวิเคราะห์
                หลักพิจารณาในการเขียนกรอบแนวคิดในการวิจัยมีดังนี้
        1.     ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรที่กำลังศึกษา ที่นำเสนอไว้ในกรอบแนวคิดในการวิจัยต้องมีพื้นฐานเชิงทฤษฏีสนับสนุนด้วนเสมอ
        2.     มีความตรงประเด็นในด้านเนื้อหาสาระ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านตัวแปรอิสระหรือตัวแปรที่ใช้ควบคุม
         3.    มีรูปแบบสอดคล้องกับความสนใจ หรือ วัตถุประสงค์ของการวิจัย
         4.    ระบุรายละเอียดของตัวแปรและหรือสามารถแสดงความสัมพันธ์
                ประโยชน์ของการมีกรอบแนวคิดในการวิจัย
         1.    สามารถเข้าใจแนวคิดสำคัญที่แสดงถึงลักษณะของปรากฏการณ์ที่กำลังศึกษาและแก่นของปัญหาการศึกษาในระยะเวลาอันสั้น
         2.    เป็นแนวทางช่วยให้ผู้วิจัยเกิดความมั่นใจว่างานวิจัยเป็นไปในแนวทางที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์
         3.    เป็นการสร้างความชัดเจนในงานวิจัยว่าจะสามารถตอบคำถามที่ศึกษาได้
         4.    เป็นแนวทางในการกำหนดความหมายตัวแปร การสร้างเครื่องมือ และการเก็บรวบรวมข้อมูลในการวิจัย
         5.    เป็นการแสดงให้เห็นคำตอบของคำถามวิจัย หรือสมมุติฐานว่าเป็นอย่างไร
3.2 การออกแบบการวิจัย
                การออกแบบการวิจัยหมายถึง การกำหนด กิจกรรม ขั้นตอนในการดำเนินกิจกรรมในการวิจัยตั้งแต่เริ่มต้นการทำวิจัยจนสิ้นสุดการทำวิจัย เพื่อให้ได้คำตอบของคำถามวิจัยอย่าง ถูกต้อง (Validity) มีความน่าเชื่อถือ (Reliability) มีความเม่นยำ (Accuracy) มีความเป็นปรนัย (Objectively) และมีความประหยัด (Economically) ดังนั้นการออกแบบการวิจัยจึงเปรียบเสมือนการสร้างพิมพ์เขียวซึ่งผู้วิจัยจะต้องกำหนดเป็นโครงสร้าง  แผนการปฏิบัติการวิจัยหรือยุทธวิธีเพื่อใช้ในการตรวจสอบการดำเนินการวิจัยว่าเป็นไปตามเวลาที่กำหนดไว้หรือไม่?   งานวิจัยแต่ละเรื่องก็จะเหมาะสมกับแบบการวิจัยแต่ละแบบ   สิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงในการออกแบบวิจัยคือการจัดการเพื่อให้ได้คำตอบที่ถูกต้องและน่าเชื่อถือ โดยการจัดการในเรื่อง ตัวอย่าง ว่ามีความเหมาะสมและมีจำนวนเพียงพอหรือไม่ แหล่งข้อมูลที่ต้องใช้ในการวิเคราะห์ เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลว่ามีความเชื่อมั่น (Reliability) มีความเที่ยงตรง (Validity) การวัดค่าตัวแปรได้ดำเนินการเพื่อควบคุมความคลาดเคลื่อนในการวัด (Measurement error) ได้มากน้อยเพียงใด การออกแบบการจัดกระทำ (Manipulating) กับการทดลองในกรณีที่เป็นการวิจัยเชิงทดลองเป็นไปอย่างเหมาะสมเพื่อควบคุมตัวแปรเกิน (Extraneousvariables) ได้ดีเพียงใด การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติได้ถูกต้องเหมาะสมหรือไม่ ตลอดจนการแปลผลการวิเคราะห์ข้อมูล และการนำเสนอผลการวิจัดได้เหมาะสมเพียงใด
                                จุดมุ่งหมายของการออกแบบการวิจัย
1. เพื่อแสวงหาคำตอบของคำถามการวิจัยให้ได้อย่างถูกต้อง เที่ยงตรง (Validity)  เป็นปรนัย(Objectivity) และประหยัด (Economy) เพราะถ้าหากการออกแบบวิจัยได้กระทำโดยความระมัดระวังบนฐานของกฎ ทฤษฎี และประสบการณ์ของนักวิจัย  รวมทั้งการกำหนดแบบแผนการวิจัยอย่างรอบครอบตามวิธีการทางวิทยาศาสตร์ (Scientific methods)  เพื่อทำให้ได้ผลการวิจัยที่ถูกต้อง  มีความเป็นปรนัยแล้วก็จะทำให้ผลการวิจัยมีความถูกต้อง น่าเชื่อถือ 
                2. เพื่อควบคุมความแปรปรวนของตัวแปรแทรกซ้อน หรือตัวแปรเกิน (Extraneous variables) หรือตัวแปรที่ไม่ต้องการศึกษาแต่มันมีอิทธิพลกับตัวแปรภายในอยู่ก่อนแล้ว เพื่อให้การวัดของตัวแปรภายในถูกต้องตามความเป็นจริง  เมื่อผู้วิจัยได้มีการควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนทั้งในแบบการจัดกระทำ (Manipulates) ในการออกแบบวิจัยเชิงทดลอง (Experimental design)  หรือการควบคุมโดยวิธีการทาสถิติในการวิจัยที่ไม่ใช่การทดลอง (Non-experimental design) แล้วก็จะทำให้การวัดคะแนนที่แท้จริง (True scores) ของตัวแปรภายในได้อย่างถูกต้องแม่นยำ
3. เพื่อให้กระบวนการวิจัยดำเนินการไปอย่างเป็นระบบและต่อเนื่องตามขั้นตอนของกระบวนการวิจัย   จึงจำเป็นมีการกำหนดแผนไว้ล่วงหน้าว่า  จะให้ใคร ทำอะไร  ที่ไหน  อย่างไร และเมื่อใด   นอกจากนี้ยังสามารถตรวจสอบ ติดตามความก้าวหน้าและปัญหาอุปสรรคของการวิจัยได้อีกด้วย
3.3 หลักเกณฑ์การออกแบบการวิจัย
                อันที่จริงแล้วยังไม่มีหลักเกณฑ์ใดหลักเกณฑ์หนึ่งโดยเฉพาะในการออกแบบการวิจัยทางการศึกษา การออกแบบจึงสามารถปรับเปลี่ยนไปได้ตามจุดมุ่งหมายและวัตถุประสงค์การวิจัย แต่อย่างไรก็ตาม หลักเกณฑ์ทั่ว ๆ ไปในการออกแบบการวิจัยอาจจะพิจารณาจากกระบวนการในการทำวิจัยเป็นหลัก โดยพิจารณาว่ากิจกรรมในแต่ละขั้นตอนในการทำวิจัยนั้นจะออกแบบอย่างไรเพื่อให้ได้ผลการวิจัยได้ผลออกมาอย่างถูกต้อง (Validity) และเชื่อถือได้ (Reliability) 
ภาพที่ 3.3 กระบวนการในการทำวิจัย(ปรับปรุง จาก (Ary, Donald.et. al., 2009, p. 33))
                จากภาพที่ 3.3 แสดงขั้นตอนในการดำเนินการวิจัย ลูกศรหัวเดียวหมายถึงขั้นตอนที่ต้องทำให้กิจกรรที่อยู่ทางหางลูกศรให้เสร็จสิ้นก่อนจึงจะสามารถทำขั้นตอนที่อยู่ทางหัวลูกศรได้ ส่วนลูกศร 2 หัว หมายถึงกิจกรรมทั้ง 2 สามารถทำไปพร้อมๆกันและจะต้องสนับสนุนซึ่งกันและกัน การออกแบบในการวิจัย คือการกำหนดแผน โครงสร้าง และยุทธศาสตร์ ในการวิจัยตามกระบวนการทำวิจัยในภาพที่ 3.3 เป็นการสร้างพิมพ์เขียวเพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินการตามกระบวนการวิจัย เพื่อให้นำไปสู่การสรุปผลวิจัยที่มีความถูกต้องเที่ยงตรง(Validity) และมีความน่าเชื่อถือ (Reliability) มากที่สุด คำว่าความเที่ยงตรงของข้อสรุป (Conclusion validity) หมายถึงความเที่ยงตรงภายนอก (Internal validity) และความเที่ยงตรงภายใน (External validity) ความเที่ยงตรงภายนอกหมายถึงความเที่ยงตรงในการสรุปอ้างอิงจากการศึกษาตัวอย่างไปสู่ประชากร (Generalization) ได้อย่างถูกต้อง เมื่อตัวอย่างคือส่วนหนึ่งของประชากรที่ถูกเลือกมาเป็นตัวแทน ส่วนความเที่ยงตรงภายใน หมายถึงความถูกต้องในการสรุปที่เกี่ยวกับความเกี่ยวข้องกันของตัวแปรที่ทำการศึกษาว่าในความเป็นจริงแล้วมีความสัมพันธ์กันมากน้อยเพียงใด 
                การออกแบบวิจัยเพื่อให้มีความเที่ยงตรงภายนอก ผู้วิจัยสามารถทำได้โดยการเลือกตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาให้เป็นตัวแทนได้ดีที่สุด โดย 1) การใช้วิธีสุ่มตัวอย่างที่เหมาะสม และมีจำนวนตัวอย่างมากพอที่จะทำให้ความคลาดเคลื่อนในการสุ่ม (Sampling error) อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ 2) สร้างเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลให้มีความเที่ยงตรง (Validity) และมีความเชื่อมั่น (Reliability) อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน เพื่อขจัดความคลาดเคลื่อนในการวัด (Measurement error) ให้อยู่ในเกณฑ์ที่ยอรับกัน และ 3) การใช้สถิติอ้างอิง (Inferential statistics) ที่เหมาะสมกับความสัมพันธ์ของตัวแปรที่ทำการศึกษา
                การออกแบบวิจัยเพื่อให้มีความเที่ยงตรงภายใน ผู้วิจัยสามารถทำได้โดยการจัดกระทำกับความแปรปรวน (Variance) ของตัวแปรที่ทำการศึกษา ซึ่งมีอยู่ 3 รูปแบบ คือ 1) ความแปรปรวนอย่างเป็นระบบ (Systematic variance) หรือความแปรปรวนที่เป็นของตัวแปรต้น และตัวแปรตาม ที่แท้จริง 2) ความแปรปรวนที่เกิดจากการปนเปลื้น (Confounding variance) ของตัวแปรอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ตัวแปรต้นหรือตัวแปรตามที่กำลังศึกษา หรือความแปรปรวนของตัวแปรภายนอก (Extraneous variables) และ 3) ความแปรปรวนที่เกิดจากการวัด (Measurement error)  ในการควบคุมความแปรปรวนทั้ง 3 ประเภทเพื่อให้มีความเที่ยงตรงภายในในการออกแบบการวิจัยผู้วิจัยสามารทำได้โดยใช้ “หลักการของแมกซ์ –มิน-คอน(Max-Min-Con. Principle)” (Kerlinger, Fred N, 1973, p. 290)Max ย่อมาจาก Maximize systematic error variance หรือการทำให้ความแปรปรวนของตัวแปรต้นและตัวแปรตามมีความแปรปรวนมากที่สุด MIN ย่อมาจาก Minimize error variance การทำให้ความคลาดเคลื่อนในการวัดมีน้อยที่สุด และ CON ย่อมาจาก  Controlling confounding variance หรือการควบคุมความแปรปรวนที่เป็นอิทธิพลของตัวแปรภายนอก หรือตัวแปรแทรกซ้อนให้คงที่
                การออกแบบวิจัยเพื่อให้มีความแปรปรวนที่เป็นระบบ (Systematic variation) มากที่สุดสามารถทำได้ดังนี้ 1) สำหรับการวิจัยเชิงทดลอง (Experimental research) ที่ผู้วิจัยสามารถจักกระทำ (Manipulate) กับการทดลองเพื่อให้ตัวแปรต้นเกิดขึ้นก่อนแล้วจึงเฝ้าสังเกตผลของตัวแปรตาม ผู้วิจัยจะต้องจัดกระทำให้ตัวแปรต้นส่งผลต่อตัวแปรตามได้มากที่สุดโดยการจัดการกับเงื่อนไขที่สามารถเป็นไปได้ทั้งหมดที่มีต่อความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต้นและตัวแปรตาม เพื่อให้มั่นใจว่าความแปรปรวนที่เกิดกับตัวแปรตามเป็นผลที่เกิดจากตัวแปรต้นจริงๆ 2) สำหรับการวิจัยที่ไม่ใช่การทดลอง (Non-experimental research) ที่ทั้งตัวแปรต้นและตัวแปรตามเกิดขึ้นเรียบร้อยแล้ว และการวัดตัวแปรทั้ง 2 ก็วัดมาพร้อมๆกัน และผู้วิจัยต้องการศึกษาความสัมพันธ์นั้น ผู้วิจัยสามารถออกแบบวิจัยเพื่อทำให้ความแปรปรวนของตัวแปรต้นและตัวแปรตามมีค่ามากที่สุดได้โดยการเลือกตัวอย่างที่มีลักษณะของตัวแปรที่ทำการศึกษาแตกต่างกันให้มากที่สุด เช่นในการศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อคุณภาพโรงเรียน ผู้วิจัยก็ต้องเลือกตัวอย่างโรงเรียนที่มีตัวแปรต้น เช่นอาจจะเป็นขนาดของโรงเรียนให้ได้ตัวอย่างที่มีขนาดแตกต่างกันมากที่สุด และในขณะเดียวกันก็เลือกโรงเรียนที่มีคุณภาพแตกต่างกันมากที่สุดด้วย 
                การออกแบบวิจัยเพื่อให้ความคลาดเคลื่อนในการวัด (Measurement error) น้อยที่สุด โดยปกติตัวแปรที่นำมาทำการศึกษามักจะเกิดจากความแปรปรวนที่เป็นความแปรปรวนของตัวแปรนั้นจริง ๆ (True score) บวกกับความแปรปรวนอื่นๆ หรือที่เรียกว่าความคลาดเคลื่อนในการวัด การออกแบบวิจัยเพื่อทำให้ความคลาดเคลื่อนในการวัดมีน้อยที่สุด ผู้วิจัยสามารถทำได้ โดยการสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลให้มีคุณภาพคือมี ความเชื่อมั่น (Validity) และความเที่ยงตรง(Validity) สูง นอกจากนี้ยังรวมถึงวิธีการจัดเก็บข้อมูลที่ถูกต้องตามประเภทของการจัดเก็บแต่ละประเภทด้วย
                การออกแบบวิจัยเพื่อให้เกิดการควบคุมความแปรปรวนอันเป็นผลมาจากตัวแปรเกิน (Extraneous variables) ตัวแปรนี้ผู้วิจัยอาจจะรู้มาก่อนหรือไม่รู้ก็ได้ว่ามีอิทธิพลต่อตัวแปรตามที่กำลังศึกษา และอาจส่งผลให้ผลการวิจัยคลาดเคลื่อนได้ ผู้วิจัยจึงจำเป็นต้องมีการควบคุมอิทธิพลของมันในขั้นการออกแบบวิจัย ซึ่งสามารถทำได้ดังนี้ 1) ในกรณีการออกแบบวิจัยเชิงทดลอง ผู้วิจัยจะจัดกระทำเพื่อให้สภาพแวดล้อมต่างๆมีความคงที่ เช่นการเลือกตัวอย่างให้มีความเหมือนกันระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมโดยการเลือกคู่ที่เหมือนกันเข้ากลุ่ม (Matching subjects) หรือการสุ่มเข้ากลุ่ม (Random assignment) 2) ในกรณีที่ออกแบบการวิจัยที่ไม่ใช่เชิงทดลอง ซึ่งผู้วิจัยจะไม่สามารถจัดกระทำเพื่อควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนได้โดยตรง ผู้วิจัยสามารถควบคุมได้โดยการยอมให้ความแปรปรวนของตัวแปรเกิดติดมาด้วยก่อนแล้วจึงใช้วิธีการทางสถิติขจัดออกที่หลัง หรือที่เรียกว่าการควบคุมทางสถิติ (Statistical control) สถิติที่ใช้ในการควบคุมความแปรปรวนของตัวแปรเกินได้แก่ การวิเคราะห์ความแปรปรวนร่วม (ANCOVA) โดยจะเรียกชื่อตัวแปรเกินว่าตัวแปรร่วม (Covariates)
3.4 การกำหนดประเด็นปัญหาในการวิจัย
ปัญหาการวิจัย (Research problem)  หมายถึง สิ่งที่ก่อให้เกิดความสงสัย  ใคร่รู้คำตอบดังนั้น  การกำหนดปัญหาการวิจัยจึงหมายถึงการระบุประเด็นที่นักวิจัยสงสัย และประสงค์ที่จะหาคำตอบ ซึ่งก็คือ ปัญหาการวิจัยนั่นเอง ฉะนั้นนักวิจัยจึงจำเป็นต้องระบุปัญหาการวิจัยให้เป็นระบบและชัดเจนทุกครั้งที่ดำเนินการวิจัย    การเลือกปัญหาในการวิจัย นับเป็นขั้นตอนแรกและเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในกระบวนการทำวิจัย การเลือกปัญหาในการวิจัย   หรือ การเลือกหัวข้อการวิจัย  เป็นหัวใจที่สำคัญของการทำวิจัย สิ่งแรกที่ผู้สนใจจะทำวิจัยต้องทำ ก็คือ การคัดเลือกหัวข้อเรื่อง หัวข้อเรื่องที่ดีควรเป็นหัวข้อที่ไม่กว้างหรือแคบจนเกินไปเป็นหัวข้อที่มีประโยชน์ และอยู่ในความสามารถของผู้วิจัยที่จะดำเนินการได้ การเลือกหัวข้อการวิจัยต้องสอดคล้องกับปัญหาที่จะศึกษาปัญหานั้นอาจจะเกิดจากความอยากรู้ ความสนใจ ความสงสัย ความนึกคิด ปรากฏการณ์ การค้นคว้า การฟัง การอ่าน การสนทนา หรือการสังเกตจากสภาพ แวดล้อมก็เป็นไปได้ การทำวิจัยแต่ละเรื่องจะต้องกำหนดประเด็นของปัญหาในการทำวิจัยให้ชัดเจน และ
การเขียนประเด็นของปัญหาควรมีหลักการดังนี้
                1. เป็นประเด็นที่น่าสนใจ มีความอยากรู้อยากเห็นในเชิงวิชาการมีศรัทธาแรงกล้าที่จะแสวงหาคำตอบในปัญหานั้น โดยปราศจากแรงจูงใจ ภายนอก เช่นการได้วุฒิบัตร การได้เกรด เป็นต้นแต่เป็นความสนใจภายในที่เกิดขึ้นจากความสนใจของผู้ทำวิจัยเอง
                2. เป็นประเด็นที่เป็นปัญหาจริง ๆ ในปัจจุบัน
                3.  เขียนให้ตรงประเด็น ข้อมูลเชิงเหตุผลควรจะนำไปสู่จุดที่เป็นปัญหาที่จะทำการวิจัย และชี้ให้เห็นความสำคัญของสิ่งที่จะทำวิจัย
4. ควรคำนึงถึงคุณค่าของผลงานวิจัยว่าจะก่อให้เกิดประโยชน์หรือมีคุณค่ามากน้อยเพียงใดเช่นในด้านก่อให้เกิดความรู้ใหม่ อาจเป็นในลักษณะสนับสนุน หรือคัดค้านหรือสร้างทฤษฎีหรือหลักการขึ้นมาใหม่ในด้านก่อให้เกิดสติปัญญาคือผลการวิจัยจะช่วยให้บุคคลมีความรู้ที่สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นและสามารถสนองความต้องการของบุคคลและสังคมได้และในด้านการนำความรู้ไปใช้กล่าวคือผลที่ได้จากการวิจัย
สามารถนำไปใช้ปรับปรุงชีวิตหรือระบบงานให้ดีขึ้นโดยใช้ผลการวิจัยเป็นแนวทางในการปรับปรุง
5. เป็นปัญหาที่จะค้นหาคำตอบได้ด้วยวิธีการวิจัย  คือสามารถจะหาหลักฐานข้อมูลเชิงประจักษ์มาอ้างอิงในการตอบปัญหานั้นได้  ไม่ใช่ปัญหาเชิงค่านิยมหรือเชิงจริยธรรมเช่น ควรให้นักศึกษาสวมเครื่องแบบมาเรียนหรือไม่  ปัญหาลักษณะนี้อาจปรับให้เป็นปัญหาวิจัยได้ว่า  นักศึกษาที่สวมเครื่องแบบมาเรียนจะมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่านักศึกษาที่ไม่สวมเครื่องแบบมาเรียนหรือไม่?
6. ไม่ยืดยาวจนน่าเบื่อ
             7. ใช้ภาษาง่าย ๆ จัดลำดับประเด็นที่เสนอให้เป็นขั้นตอนต่อเนื่องกัน
           8. เป็นประเด็นที่น่าจะเป็นประโยชน์เมื่อทำการวิจัยเสร็จสิ้นแล้ว ผลการวิจัยสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง ๆ
           9. อยู่ในวิสัยที่ผู้วิจัยคิดว่าน่าจะทำได้ทั้งในแง่ของเวลา ค่าใช้จ่ายตามความสามารถของ ผู้วิจัย
10. ควรคำนึงถึงความสามารถในการวิจัย ซึ่งหมายถึงผู้วิจัยจะต้องคำนึงถึงความสามารถในการทำวิจัยในด้านต่าง ๆ เช่นมีความรู้ความสามารถเพื่อหาความรู้เพิ่มเติมในทุก ๆเรื่องที่เกี่ยวกับการวิจัยในปัญหานั้นสามารถใช้เวลาและมีเงินงบประมาณเพียงพอที่จะทำการวิจัยในปัญหานั้นนอกจากนี้ผู้วิจัยสามารถหาข้อมูลในปัญหานั้นๆได้และสามารถวิเคราะห์ได้อย่างเที่ยงตรงและมีประสิทธิภาพ
แหล่งปัญหาในการวิจัย
                แหล่งที่ถือว่าเป็นแหล่งปัญหา หรือการได้มาของหัวข้อที่จะทำการวิจัยมีอยู่มากมายหลายแหล่งหรือหลายวิธี ซึ่งอาจจำแนกออกได้เป็น 4 แหล่งด้วยกัน คือ
                1 ความยากรู้ยากเห็น และความสนใจของผู้วิจัยเอง โดยมีหลักการอย่างกว้าง ๆ ว่าผู้วิจัยจำเป็นต้องมีความรู้ในเรื่องที่ต้องการทำวิจัยอย่างเพียงพอ ดังนั้นหัวข้อปัญหาที่จะทำวิจัยจึงต้องเป็นหัวข้อที่ตรงกับเรื่องที่ผู้วิจัยมีความรู้ความชำนาญในสิ่งนั้นอยู่ก่อนแล้ว หรืออีกนัยหนึ่งก็คือเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวของผู้วิจัยมากกว่าสิ่งที่อยู่ไกลตัว สภาพที่จะถือว่าเป็นปัญหา ได้แก่สภาพที่ก่อให้เกิดความยากลำบาก (Felt difficulties) และใคร่ทราบคำตอบในการแก้ไข อาศัยความยากรู้ยากเห็นเกี่ยวกับสภาพส่วนตัวและจินตนาการของผู้วิจัยก็จะได้หัวข้อการวิจัย การกำหนดปัญหาสำหรับการวิจัยโดยวิธีนี้ เหมาะสำหรับนักวิจัยมือใหม่
                2 การกำหนดหัวข้อวิจัยจากการเปลี่ยนแปลงสภาพการณ์ เนื่องจากสถานการณ์ต่าง ๆ มีการเปลี่ยนแปลงไป ทั้งเนื้อหาสาระ และเทคนิควิธี จนทำให้เกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ เกิดขึ้นอยู่เสมอ นวัตกรรมต่างๆ ที่เกิดใหม่นี้จำเป็นต้องมีการตรวจสอบประสิทธิภาพก่อนนำไปใช้เสมอ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการประเมินนวัตกรรมเหล่านั้นผ่านกระบวนการวิจัย การเกิดนวัตกรรมใหม่ ๆนี้จึงนับว่าเป็นแหล่งหรือที่มาของปัญหาในการทำวิจัยที่สำคัญอีกแหล่งหนึ่ง
                3 จากแนวความคิด หรือข้อเสนอแนะของนักวิจัย หรือผู้เชี่ยวชาญ หรือผู้มีประสบการณ์อื่น ๆ นักวิจัยอาจได้ปัญหาหรือหัวข้อวิจัยในการทำวิจัยจากท่านเหล่านี้ อาจจะเป็นจาก การถกปัญหา การประชุมสัมมนา รายงาน และข้อเสนอแนะปัญหาจากผู้มีประสบการณ์เหล่านั้น นอกจากนี้แนวความคิดดังกล่าวอาจจะปรากฏอยู่ในรูปเอกสารต่าง ๆ เช่น ในรายงานผลการวิจัย วารสารทางวิชาการ บทความ และบทคัดย่อวิทยานิพนธ์ เป็นต้น ผู้วิจัยจำเป็นต้องศึกษาจากเอกสารเหล่านี้แทนการรับข้อเสนอแนะจากผู้มีประสบการณ์เหล่านั้นโดยตรง
                4 ในกรณีที่เป็นนักศึกษาที่ถูกกำหนดให้ทำวิจัยเพื่อเป็นวิทยานิพนธ์ในการศึกษาตามหลักสูตร แหล่งปัญหาในการทำวิจัยที่สำคัญอีกแหล่งหนึ่งก็คือ อาจารย์ที่ปรึกษา หรืออาจารย์ที่สอนเรื่องวิจัย อาจช่วยให้คำแนะนำในเรื่องหัวข้อการทำวิจัยได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังช่วยให้นักศึกษามีความรู้สึกมั่นใจในหัวข้อหรือปัญหาวิจัยว่ามีความสำคัญ และมีความเป็นไปได้
 การประเมินหัวข้อปัญหาในการทำวิจัย
เมื่อผู้วิจัยได้หัวข้อในการทำวิจัยแล้ว ก่อนที่จะจัดทำเค้าโครงรายละเอียดในการทำวิจัย เพื่อดำเนินการวิจัยต่อไปนั้น มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้วิจัยจะต้องประเมินหัวข้อปัญหาในการทำวิจัย เพื่อให้มั่นใจเสียก่อนว่าเป็นหัวข้อหรือปัญหาที่เหมาะสมและมีความเป็นไปได้ในการนำไปปฏิบัติ หัวข้อในการประเมินเริ่มจากคำถามต่าง ๆ ดังนี้
                1 ปัญหาเช่นนี้สามารถแก้ไขได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยวิธีการวิจัยหรือไม่? ข้อมูลที่เกี่ยวข้องสำหับการทดสอบทฤษฎีจะสามารถหามาได้หรือไม่?
                2 หัวข้อปัญหามีความสำคัญพอที่จะทำวิจัยหรือไม่?  มีหลักการสำคัญสนับสนุนหรือไม่?  ผลของการวิจัยจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงตามทฤษฎีหรือไม่?
                3 หัวข้อปัญหาเป็นเรื่องใหม่หรือไม่?  เป็นหัวข้อปัญหาที่ทราบคำตอบอยู่แล้วหรือไม่?  เป็นปัญหาที่ผู้อื่นทำแล้วหรือไม่?  ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าถ้าเป็นหัวข้อที่ผู้อื่นทำแล้วจะไม่ควรทำซ้ำอีก เพราะหัวข้อในการทำวิจัยบางเรื่องก็ยังมีความจำเป็นต้องทำซ้ำเพื่อการปรับปรุงผลการวิจัย ทั้งนี้อาจเพราะตัวแปรต่าง ๆ ได้มีการเปลี่ยนแปลงไป เมื่อเวลาผ่านไป หรือเป็นการศึกษาหัวข้อปัญหาเดียวกันในสถานที่แตกต่างกันก็อาจกระทำได้
                4 การวิจัยตามหัวข้อปัญหานั้นมีความเป็นไปได้เพียงใด?  ซึ่งความเป็นไปได้นี้อาจพิจารณาในแง่ต่าง ๆ ดังนี้
                                1) ศักยภาพของผู้ทำการวิจัยเป็นไปได้หรือไม่?  เช่น ในการวางแผนการวิจัย ความรู้ในเนื้อหาที่ทำการวิจัยเพื่อให้เข้าใจประเด็นต่าง ๆ และสามารถแปลผลที่ได้จากการทำวิจัยได้ ความสามารถในการบริหารการวิจัยของผู้วิจัยมีเพียงพอหรือไม่?  ทั้งนี้รวมทั้งความรู้และทักษะในการแปลผลจากการวิเคราะห์ข้อมูล และกระบวนการวิจัย รวมทั้งความรู้ในเรื่องการออกแบบวิจัย และสถิติที่ใช้ในการวิจัยของผู้ทำการวิจัยเพียงพอหรือไม่?
                                2)  เครื่องมือที่ใช้ในการทำวิจัยเชื่อถือได้หรือไม่?  การเก็บรวบรวมข้อมูลมีปัญหาหรือไม่?
                                3)  งบประมาณที่ใช้ในการทำวิจัยมีเพียงพอหรือไม่?  ถ้ายังไม่มีจะหาได้จากแหล่งใด?
                                4) มีเวลาเพียงพอในการทำวิจัยหรือไม่?
                                5) ผู้วิจัยมีความกล้าเพียงใดในการเสนอผลการวิจัย เพราะบางครั้งผลการวิจัยอาจมีผลกระทบกับผู้คนหรือสถาบันต่างๆได้
3.5 การกำหนดวัตถุประสงค์การวิจัย
ความหมาย
การกำหนดวัตถุประสงค์การวิจัยเป็นเป็นการระบุความต้องการในการศึกษาว่าต้องการศึกษาในประเด็นใดบ้าง ในเรื่องที่จะทำวิจัยดังนั้นเนื้อหาในวัตถุประสงค์วิจัยจึงจะ ต้องมีความชัดเจน และเฉพาะเจาะจง ไม่คลุมเครือ โดยบ่งบอกถึง สิ่งที่จะทำ ทั้งขอบเขต และคำตอบที่คาดว่าจะได้รับ ทั้งในระยะสั้น และระยะยาว นอกจากนี้การเขียนวัตถุประสงค์ยังจะ ต้องให้สมเหตุสมผล กับทรัพยากรที่เสนอขอ และเวลาที่จะใช้ในการทำวิจัยอีกด้วย วัตถุประสงค์ของการทำวิจัยสามารถ จำแนกได้เป็น 2 ชนิด คือ  
1) วัตถุประสงค์ทั่วไป (General Objectives) เป็นข้อความที่กล่าวถึงสิ่งที่คาดว่าจะเกิดขึ้น จากการวิจัยนี้ในภาพกว้างๆ  ไม่มีการการแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับการทำวิจัย  แต่จะต้องครอบคลุมงานวิจัยที่จะทำทั้งหมด ตัวอย่างเช่น
“เพื่อศึกษาบรรยากาศของโรงเรียนกับความผูกพันต่อองค์การของครูในโรงเรียน”
2) วัตถุประสงค์เฉพาะ (Specific Objectives) เป็นข้อความที่พรรณนารายละเอียดของสิ่งที่จะเกิดขึ้นจริง ในงานวิจัยนี้ โดยอธิบายรายละเอียดว่า จะทำอะไร? โดยใคร? ทำมากน้อยเพียงใด?  ที่ไหน? เมื่อไร? และเพื่ออะไร? โดยการเรียงหัวข้อ ควรเรียงตามลำดับความสำคัญ ก่อน หลัง ตัวอย่างเช่น
(1) เพื่อเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยบรรยากาศของโรงเรียนระหว่างโรงเรียนของ รัฐ และ เอกชน
(2) เพื่อทดสอบความแตกต่างความผูกพันต่อองค์การของครูเพศชายและครูเพศหญิง
(3) เพื่อทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างบรรยากาศของโรงเรียนกับความผูกพันต่อองค์การของครู
                เทคนิคในการเขียนวัตถุประสงค์
หลักทั่วไปในการเขียนวัตถุประสงค์ในการวิจัย  มีดังนี้
1. วัตถุประสงค์ของการวิจัยจะต้องมีความสอดคล้องกับชื่อเรื่องวิจัย ความเป็นมาและความสำคัญของการวิจัย
2. วัตถุประสงค์ที่เขียนสามารถนำไปกำหนดเป็นสมมุติฐานการวิจัยได้  (ถ้าเป็นการวิจัยที่ต้องการทดสอบสมมุติฐาน)
3. วัตถุประสงค์ของการวิจัยต้องเขียนให้ครอบคลุมสิ่งที่ต้องการศึกษา
4. ภาษาที่ใช้ในการเขียนจะต้องสั้นกะทัดรัด เข้าใจง่าย ได้ใจความ มีความชัดเจน และเฉพาะเจาะจง ไม่กำกวม
5. วัตถุประสงค์จะต้องมีการระบุวิธีการศึกษา ตัวแปร และกลุ่มที่ศึกษา ว่าคือ อะไร? ใคร? อย่างไร?
6. ข้อความในวัตถุประสงค์ต้องสามารถนำไปกำหนดรูปแบบหรือกรอบแนวคิดในการวิจัยได้
7. ข้อความวัตถุประสงค์อาจจะเขียนในลักษณะคำบรรยาย หรือคำถามก็ได้
8. ในกรณีที่วัตถุประสงค์มีหลายข้อควรเขียนเรียงจากวัตถุประสงค์หลักไปสู่วัตถุประสงค์ย่อย
9. การเขียนอาจจะเขียนในลักษณะวัตถุประสงค์ทั่วไปก่อนแล้ว แล้วจึงแยกเป็นวัตถุประสงค์เฉพาะ
                ข้อควรระวังในการเขียนวัตถุประสงค์วิจัย
1. อย่านำกิจกรรม หรือกระบวนการมาเขียนเป็นวัตถุประสงค์ แต่ควรใช้ผลที่ต้องการให้เกิดจากการวิจัยมาเขียนเป็นวัตถุประสงค์ เช่นไม่ควรตั้งวัตถุประสงค์ว่า
                “เพื่อเก็บข้อมูลในเชิงลึกกับผู้เชี่ยวชาญโดยวิธีประชุมกลุ่ม”
2. ไม่ควรนำประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการวิจัยมาเป็นวัตถุประสงค์ เพราะไม่ใช่ผลผลิตของการวิจัยโดยตรง แม้ว่าทั้งสองเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกัน แต่ก็มีความแตกต่างกัน โดยที่วัตถุประสงค์ของการวิจัย คือประเด็นที่จะทำการวิจัย ส่วนประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ เป็นการคาดหมายถึงประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นจากการนำผลการวิจัยที่ทำเสร็จแล้วไปใช้เช่นไม่ควรเขียนวัตถุประสงค์ว่า
                “เพื่อทำให้ครูในโรงเรียนมีสำนึกต่อความผูกพันต่อองค์การ”
3. ไม่นำเอาความสำคัญของการวิจัยมาเขียนเป็นวัตถุประสงค์ เช่นไม่ควรเขียนวัตถุประสงค์ว่า
                “เพื่อนำผลการวิจัยไปใช้ปรับปรุงความผูกพันต่อองการของครูในโรงเรียน”
3.6  ความสัมพันธ์ของปัญหาการวิจัยและวัตถุประสงค์
จากภาพที่ 3.3 แสดงให้เห็นว่ากระบวนการวิจัยทั้งหมดถูกเชื่อมโยงกันด้วยลูกศรซึ่งให้ความหมายว่า กิจกรรมต่างๆในกระบวนการวิจัยมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันทั้งในลักษณะเป็นเหตุเป็นผลกัน และในลักษณะส่งเสริมสนับสนุนซึ่งกันและกัน โดยลูกศรหัวเดียวบอกให้ทราบว่ากิจกรรมในกระบวนการนั้นสัมพันธ์ในลักษณะเป็นเหตุเป็นผลกันโดยที่กิจกรรมทางหางลูกศรคือคือกิจกรรมที่เป็นเหตุ ซึ่งจะต้องเกิดขึ้นก่อนหรือเป็นกิจกรรมที่จะต้องกระทำให้สำเร็จก่อน ส่วนกิจกรรมที่อยู่ทางหางลูกศรเป็นกิจกรรมที่จะต้องกระทำเมื่อภายหลังที่กิจกรรมทางหางลูกศรได้ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว และกิจกรรมทั้งทางหางลูกศรและทางหัวลูกศรจะต้องมีความเชื่อมโยงหรือสัมพันธ์กันในลักษณะเป็นเหตุเป็นผลกัน ส่วนในกรณีลูกศร 2 หัวหมายถึงกิจกรรมทั้ง 2 มีความเชื่อมโยงหรือสัมพันธ์กันในลักษณะเกื้อกูลซึ่งกันและกัน ซึ่งอาจจะไม่ได้เป็นเหตุเป็นผลกันโดยตรงก็ได้และไม่ได้จำเป็นว่าจะดำเนินกิจกรรมใดก่อนหรือหลัง
จากความหมายในภาพที่ 3.3 แสดงให้เห็นว่าวัตถุประสงค์ของการทำวิจัยเป็นผลเริ่มต้นมาจากความอยากรู้อยากเห็น หรือความสงสัยในปรากฏการณ์  และหลังจากได้ศึกษาปรากฏการณ์แล้วผู้วิจัยจึงได้กำหนดปัญหาวิจัยหรือตั้งคำถามวิจัยเพื่อให้เป็นแนวทางในการแสวงหาคำตอบให้ตรงกับข้อสงสัย และเมื่อได้ตั้งคำถามวิจัย ได้ตรงกับข้อสงสัยและครอบคลุมแครบถ้วยแล้ว ผู้วิจัยจึงจะสามารถเขียนวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดเป็นเป้าหมายสำหรับคำตอบของแต่ละคำถาม ซึ่งจะเห็นว่าปัญหาวิจัยและวัตถุประสงค์ของการวัยจึงจะต้องมีความสอดคล้องในลักษณะเป็นเหตุเป็นผลซึ่งกันและกัน กล่าวคือถ้าปัญหาวิจัยในรูปคำถามเป็นอย่างไร ก็จะเป็นเหตุให้ต้องกำหนดวัตถุประสงค์เพื่อให้ได้คำตอบตรงตามคำถามวิจันนั้น ยกตัวอย่างเช่น
หลังจากศึกษาวรรณคดีที่เกี่ยวข้องแล้ว (ศึกษาปรากฏการณ์) ผู้วิจัยสงสัยว่า ครูเพศหญิงน่าจะมีความผูกพันองค์การมากกว่าครูเพศชายหรือไม่?  วัตถุประสงค์ของการวิจัยก็จะเป็น
“เพื่อศึกษาความแตกต่างความผูกพันต่อองค์การระหว่างครูเพศชายและครูเพศหญิง”
เมื่อได้ดำเนินการวิจัยตามวัตถุประสงค์แล้วก็จะย้อนกลับไปดูว่าคำตอบที่ได้ตรงกับคำถามหรือปัญหาวิจัย หรือไม่? และได้ตอบข้อสงสัยผู้วิจัยในปรากฏการณ์ความผูกพันต่อองค์การของครูหรือยัง?

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

พัฒนาการแสวงหาความรู้ของมนุษย์

ตัวแปรในการวิจัยและการวัดค่าตัวแปร