ความรู้พื้นฐานทางการวิจัย
ความหมายของการวิจัย
การวิจัย หมายถึง ความพยายามอย่างเป็นระบบเพื่อให้ได้คำตอบในประเด็นที่สงสัย(Tuckman, 1999) ซึ่งสามารถขยายความได้ว่า การวิจัยเป็นกระบวนการและขั้นตอนที่ได้วางแผนและดำเนินการอย่างเป็นระบบเชื่อถือได้เพื่อศึกษาหาคำตอบในประเด็นที่สงสัย พร้อมทั้งบันทึกและรายงานผลด้วยความรอบครอบ โดยที่คำตอบนั้นอาจสอดคล้องกับที่ผู้วิจัยคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าหรืออาจจะไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ก็ได้ ด้วยเหตุนี้การวิจัยจึงต้องเริ่มจากคำถามที่สำคัญมีความหมาย และเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ต้องการหาคำตอบ ถ้าไม่มีคำถาม การวิจัยก็ไม่มีจุดเน้น ไม่มีพลังในการขับเคลื่อน และไม่มีจุดมุ่งหมาย
ความสำคัญของการวิจัย
การวิจัยเป็นวิธีหนึ่งของการแสวงหาความรู้ ความจริง โดยใช้วิธีการที่เชื่อถืออย่างมีระบบและมีขั้นตอน เป็นกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ จึงมีความแตกต่างจากการแสวงหาความรู้จากแหล่งต่างๆ เช่น ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ อ่านเอกสาร ตำรา บทความ ศึกษาจากเว็บไซต์ หรือสังเกตจากเพื่อนร่วมงาน ซึ่งการแสวงหาความรู้ในลักษณะนี้มีข้อจำกัดในบางประการคือ คำตอบที่ได้อาจไม่ถูกต้องหรือเชื่อถือได้เสมอไป ด้วยเหตุนี้การวิจัยจึงมีคุณค่า และมีความสำคัญอย่างยิ่งในหลายประการพอสรุปได้ดังนี้
1.ช่วยให้ได้รับความรู้ใหม่ ทั้งทางทฤษฎีและปฏิบัติ อันจะส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดียิ่งขึ้น
2.ช่วยพิสูจน์ หรือตรวจสอบความถูกต้องของกฏเกณฑ์ หลักการและทฤษฎีต่างๆ
3.ช่วยให้เข้าใจสถานการณ์ ปรากฏการณ์ และพฤติกรรมต่างๆ
4.ช่วยแก้ไขปัญหาหรือตัดสินใจได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ
5.ช่วยปรับปรุงและพัฒนาการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
นักวิจัยได้แบ่งประเภทของการวิจัยตามเกณฑ์หรือจุดมุ่งหมายที่แตกต่างกัน การศึกษาประเภทต่างๆของการวิจัยจะช่วยให้ผู้วิจัยสามารถเข้าใจรายละเอียดของลักษณะการวิจัยแต่ละประเภทได้ชัดเจนขึ้น อันจะส่งผลให้ผู้วิจัยสามารถออกแบบการวิจัยได้ถูกต้องและสอดคล้องกับความต้องการของผู้วิจัย สำหรับเอกสารฉบับนี้ได้แบ่งประเภทการวิจัยตามลักษณะสำคัญ 7 ลักษณะดังต่อไปนี้
1. การแบ่งประเภทตามประโยชน์ของการวิจัย
การพิจารณาประเภทของการวิจัยโดยใช้เกณฑ์ตามประโยชน์หรือการนำผลการวิจัยไปใช้อาจแบ่งการวิจัยออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้
1.1 การวิจัยพื้นฐาน (basic research) หรือการวิจัยบริสุทธิ์ (pure research) หรือการวิจัยเชิงทฤษฎี (theoretical research) เป็นการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างข้อเท็จจริงเกี่ยวกับปรากฏการณ์ที่ศึกษา โดยมีจุดประสงค์เพื่อแสวงหาความรู้เพื่อสร้างเป็นทฤษฎีหรือองค์ความรู้ใหม่ๆให้กว้างขวางสมบูรณ์ยิ่งขึ้นโดยมิได้คำนึงว่าความรู้นั้นจะนำไปแก้ปัญหาใดได้หรือไม่การวิจัยจึงเป็นนามธรรม ค่อนข้างลึกและซับซ้อน เช่น การวิจัยเพื่อค้นหาความรู้ต่างๆทางวิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ เป็นต้น
1.2 การวิจัยประยุกต์(applied research) เป็นการวิจัยที่มุ่งเสาะแสวงหาความรู้และประยุกต์ใช้ความรู้หรือวิทยาการต่างๆ ให้เป็นประโยชน์ในชีวิตประจำวัน หรืออาจนำผลการวิจัยพื้นฐานมาวิจัยต่อยอดแล้วทดลองใช้ เช่น การวิจัยเกี่ยวกับอาหาร ยารักษาโรค การเกษตร เป็นต้น
1.3 การวิจัยเชิงปฏิบัติการ ( action research) หรือการวิจัยเพื่อหาแนวทางปฏิบัติ (operational research) เป็นการวิจัยที่ผู้วิจัยเป็นผู้ที่ปฏิบัติด้วยตนเองเพื่อนำผลการวิจัยที่ได้ไปแก้ปัญหาหรือปรับปรุงเฉพาะงานที่กำลัง ดำเนินการอยู่จนกว่าจะได้ผลที่ผู้วิจัยพอใจจึงนำผลไปใช้และเผยแพร่ต่อไป เช่น การวิจัยเกี่ยวกับการสอนของครู(classroom action research) หรืการวิจัยในแวดวงอุตสาหกรรม เป็นต้น
การวิจัยทั้ง 3 ประเภทมีความสัมพันธ์กัน ดังนั้นเราจึงไม่สามารถแยกการวิจัยพื้นฐาน การวิจัยประยุกต์ และการวิจัยเชิงปฏิบัติการออกจากกันได้อย่างเด็ดขาด นอกจากนี้นักวิจัยบางคนได้ระบุให้การวิจัยและพัฒนา (research and development) จัดอยู่ในกลุ่มนี้เพราะเป็นการนำผลการวิจัยที่ได้จากการวิจัยพื้นฐานหรือการวิจัยประยุกต์ไปพัฒนานวัตกรรมเช่น การพัฒนาสื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) เอกสารประกอบการสอน รูปแบบการจัดการเรียนการสอน เป็นต้น
2. การแบ่งประเภทตามวัตถุประสงค์ของการวิจัย
การแบ่งประเภทการวิจัยตามวัตถุประสงค์ของการวิจัย อาจแบ่งการวิจัยออกเป็น 3 ประเภท
2.1 การวิจัยเชิงพยากรณ์ (predictiveresearch ) เป็นการวิจัยเพื่อที่จะนำผลที่ได้ไปใช้ทำนายสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต
2.2 การวิจัยเชิงวินิจฉัย (diagnostic research) ) เป็นการวิจัยเพื่อศึกษาสาเหตุของปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นกับบุคคลใดบุคคลหนึ่ง กลุ่มชน หรือชุมชน เพื่อให้เกิดความเข้าใจในปัญหา เข้าใจในพฤติกรรม ตลอดจนเข้าใจในสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาอันจะเป็นประโยชน์ในการช่วยเหลือและทำการแก้ไขต่อไป
2.3 การวิจัยเชิงอรรถาธิบาย (explanatory research) เป็นการวิจัยเพื่อศึกษาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วว่าเกิดขึ้นได้อย่างไรมีสาเหตุมาจากอะไร และทำไมจึงเป็นเช่นนั้น การวิจัยประเภทนี้จะพยายามให้เห็นว่าตัวแปรใดสัมพันธ์กับตัวแปรใดบ้าง และสัมพันธ์กันอย่างไร ในเชิงของเหตุและผล
3 การแบ่งประเภทตามขอบเขตของศาสตร์ต่างๆ
การแบ่งประเภทการวิจัยตามขอบเขตของศาสตร์ต่างๆของการวิจัย อาจแบ่งการวิจัยออกเป็น 2 ประเภท
3.1 การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ (scientific research) เป็นการวิจัยเกี่ยวกับปรากฏการณ์ตามธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิต ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็น วิทยาศาสตร์อาจจำแนกตามสาขาต่างๆ เช่น สาขาวิทยาศาสตร์กายภาพและคณิตศาสตร์ สาขาวิทยาศาสตร์ สาขาวิทยาศาสตร์เคมีละเภสัชศาสตร์ เป็นต้น
3.2 การวิจัยทางสังคมศาสตร์ (social research) เป็นการวิจัยเกี่ยวกับสภาพแวดล้อม สังคม วัฒนธรรม และพฤติกรรมของมนุษย์
4. การแบ่งประเภทตามความเข้มงวดของการควบคุมตัวแปร
การแบ่งประเภทการวิจัยตามความเข้มงวดของการควบคุมตัวแปร เป็นการพิจารณาความเข้มงวดในการควบคุมตัวแปรได้มากน้อยเพียงใด อาจแบ่งการวิจัยออกเป็น 4 ลักษณะเรียงตามความเข้มงวดของการควบคุมตัวแปรจากสูงไปต่ำหรือจากมากไปหาน้อย ตามลำดับ
4.1 การวิจัยทดลอง(experimental research) เป็นการวิจัยที่มุ่งการศึกษาความสัมพันธ์หรือการกระทำของตัวแปรต้นต่อตัวแปรตาม มีการกำหนดกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลองหากควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนได้สมบูรณ์เรียกว่า การทดลองแท้(true experimental research) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ แต่ถ้าควบคุมได้บางส่วน ดังเช่น การวิจัยทางสังคมศาสตร์ จะเรียกว่าการวิจัยกึ่งทดลอง(quasi experimental research)
4.2 การวิจัยเชิงปฏิบัติการ การวิจัยประเภทนี้มีความยืดหยุ่นในเรื่องระเบียบวิธีการวิจัย(research methodology) มากกว่าการวิจัยเชิงทดลอง อย่างไรก็ตาม ก็ต้องคำนึงถึงการควบคุมตัวแปรภายนอกหรือตัวแปรแทรกซ้อนด้วยเพื่อให้ผลการวิจัยน่าเชื่อถือถึงแม้ว่าจะกระทำได้เพียงบางส่วน
4.3 การวิจัยเชิงสำรวจ เป็นการวิจัยที่มุ่งศึกษาลักษณะความเป็นจริงตามสภาพในเรื่องต่างๆแล้วประมวลสรุปรายงานเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริง ดังนั้นการวิจัยประเภทนี้จึงควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนได้บ้าง ไม่ต้องเข้มงวดเหมือนการวิจัยทั้ง 2 แบบดังกล่าว
4.4 การวิจัยสนาม เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพที่ควบคุมตัวแปรได้บ้างแต่น้อยกว่าการวิจัยที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด เพระเน้นการสังเกตในสภาพที่เป็นธรรมชาติที่สุด
5 การแบ่งประเภทตามระยะเวลาของการวิจัย
การแบ่งประเภทการวิจัยตามระยะเวลาของการวิจัย อาจแบ่งออกเป็น 3 ลักษณะ
5.1 การวิจัยเชิงประวัติศาสตร์ (historical research) เป็นการวิจัยเพื่อค้นหาข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้วในอดีต มีจุดมุ่งหมายเพื่อบันทึกเหตุการณ์ในอดีตอย่างมีระบบ และมีความเป็นปรนัย โดยการรวบรวมข้อมูล ประเมินผล ตรวจสอบ และวิเคราะห์เหตุการณ์ เพื่อค้นหาข้อเท็จจริงแล้วนำมาสรุปอย่างมีเหตุผล การวิจัยประเภทนี้ต้องอ้างอิงเอกสารและหลักฐานร่องรอยทางประวัติศาสตร์ ซึ่งโดยทั่วไปไม่นิยมใช้ข้อมูลเชิงตัวเลข
5.2 การวิจัยเชิงปัจจุบันหรือการวิจัยร่วมสมัย(contemporary research) เป็นการวิจัยที่มุ่งศึกษาหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสภาพปัจจุบันเพื่อประโยชน์ในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในช่วงเหตุการณ์นั้น ซึ่งอาจจัดให้การวิจัยเชิงบรรยายหรือพรรณนา(descriptive research) อยู่ในกลุ่มนี้
5.3 การวิจัยอนาคต(futuristic research) เป็นการวิจัยที่มุ่งทำนายหรือพยายามคาดคะเนเหตุการณ์ อย่างใดอย่างหนึ่งในอนาคต โดยอาศัยแนวคิดทฤษฎี เป็นกรอบอ้างอิงในการวิจัย เช่น การใช้เทคนิคเดลไฟ(Delphi technique) หรือเทคนิคEDFR(ethnographic future research) เป็นต้น
การแบ่งประเภทการวิจัยโดยยึดตามระเบียบวิธีการวิจัย เป็นเกณฑ์นั้นเป็นที่นิยมใช้กันมากซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้
6.1 การวิจัยเชิงประวัติศาสตร์(historical research) เป็นการวิจัยเพื่อค้นหาข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้วในอดีต มีจุดมุ่งหมายเพื่อบันทึกเหตุการณ์ในอดีตอย่างมีระบบ และมีความเป็นปรนัย โดยการรวบรวมข้อมูล ประเมินผล ตรวจสอบ และวิเคราะห์เหตุการณ์ เพื่อค้นหาข้อเท็จจริงแล้วนำมาสรุปอย่างมีเหตุผล การวิจัยประเภทนี้ต้องอ้างอิงเอกสารและหลักฐานร่องรอยทางประวัติศาสตร์ ซึ่งโดยทั่วไปไม่นิยมใช้ข้อมูลเชิงตัวเลข
6.2 การวิจัยเชิงบรรยายหรือพรรณนา(descriptive research)เป็นการวิจัยค้นหาข้อเท็จจริงในสภาพการณ์หรือภาวการณ์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบันว่าเป็นอย่างไร การวิจัยประเภทนี้มักจะทำการสำรวจหรือหาความสัมพันธ์ต่างๆเกี่ยวกับเรื่องของความเชื่อ ความคิดเห็นและเจตคติ ดังนั้นข้อมูลส่วนใหญ่จึงเป็นข้อมูลเชิงปริมาณเพื่อหาคำตอบว่าสิ่งที่กำลังสนใจศึกษานั้นเป็นอย่างไร(what is)
6.3 การวิจัยเชิงทดลอง(experimental research) เป็นการวิจัยที่มุ่งการศึกษาความสัมพันธ์หรือการกระทำของตัวแปรต้นต่อตัวแปรตาม มีการกำหนดกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลองหากควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนได้สมบูรณ์เรียกว่า การทดลองแท้(true experimental research) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ แต่ถ้าควบคุมได้บางส่วน ดังเช่น การวิจัยทางสังคมศาสตร์ จะเรียกว่าการวิจัยกึ่งทดลอง(quasi experimental research)
7. การแบ่งประเภทตามลักษณะข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูล
การแบ่งประเภทการวิจัยตามลักษณะข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูล เป็นเกณฑ์นั้นเป็นที่นิยมใช้กันทั่วไปซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภท
7.1 การวิจัยเชิงคุณภาพ(qualitative research) หรือการวิจัยคุณลักษณะเป็นการศึกษาหาความจริงจากเหตุการณ์และสภาพแวดล้อมที่มีอยู่ตามความเป็นจริงนักวิจัยเชิงคุณภาพพยายามวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของเหตุการณ์กับสภาพแวดล้อมเพื่อให้เข้าใจในความรู้ความจริงอย่างถ่องแท้ โดยต้องอาศัยภาพรวมในหลายมิติ ในลักษณะเช่นนี้ จึงตรงกับความหมายของการวิจัยเชิงธรรมชาติ(naturalistic research) ซึ่งเป็นการวิจัยที่ปล่อยให้ทุกอย่างอยู่อย่างธรรมชาติโดยไม่มีการจัดกระทำใดๆเลย (สุภางค์ จันทร์วานิช,2522) ด้วยเหตุนี้การวิจัยเชิงคุณภาพจึงใช้ข้อมูลทางด้านคุณภาพที่ไม่เป็นตัวเลขมาวิเคราะห์ในลักษณะเป็นข้อความบรรยายลักษณะสภาพเหตุการณ์ต่างๆที่เกี่ยวข้อง และเสนอผลการวิจัยในรูปของข้อความที่ไม่เน้นความสำคัญของตัวเลขมาสนับสนุน ดังนั้นการวิจัยประเภทนี้จึงเป็นกระบวบการอุปมัย(inductive) ที่มุ่งบรรยายหรืออธิบายเหตุการณ์ต่างๆ โดยอาศัยการวิเคราะห์ เพื่อประเมินหรือสรุปผล
7.2 การวิจัยเชิงปริมาณ(quantitative research)เป็นการศึกษาหาความรู้ความจริงจากเหตุการณ์ต่างๆโดยศึกษาจากกลุ่มเป้าหมายได้ครั้งละมากๆและดำเนินการได้อย่างรวดเร็วและใช้ข้อมูลเชิงตัวเลขเป็นสำคัญ นักวิจัยเชิงปริมาณพยายามออกแบบการวิจัยให้เกิดความคลาดเคลื่อนน้อยที่สุด โดยให้มีการควบคุมตัวแปรที่ศึกษา พร้อมทั้งจัดเตรียมเครื่องมือรวบรวมข้อมูลให้มีคุณภาพ จัดกระทำสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องให้เป็นมาตรฐาน และใช้วิธีการทางสถิติช่วยวิเคราะห์และประมวลข้อสรุปเพื่อยืนยันความถูกต้องของสมมติฐานที่คาดคิดไว้ล่วงหน้า ดังนั้น การวิจัยประเภทนี้จึงเป็นกระบวนการนิรนัย(deductive) ที่มุ่งอธิบายเหตุการณ์ต่างๆโดยอาศัยตัวเลขในการสรุปอ้างอิงแทนที่จะใช้ข้อความบรรยายให้เหตุผล
สำหรับแนวโน้มการวิจัยทางการศึกษาในปัจจุบัน นักวิจัยทางการศึกษาได้ให้ความสำคัญกับการวิจัยเชิงคุณภาพมากขึ้นหรือมีความพยายามที่จะใช้วิธีผสมผสานระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ทั้งนี้เนื่องจากการวิจัยในแต่ละประเภทก็มีทั้งจุดแข็งและจุดอ่อน การใช้วิธีการหนึ่งมาช่วยสนับสนุนอีกวิธีการหนึ่งในการตอบคำถามวิจัยก็จะช่วยให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ขั้นตอนการวิจัย
ในการกำหนดขั้นตอนในการวิจัย ผู้วิจัยควรคำนึงว่าสิ่งที่ตนสนใจศึกษานั้นเป็นงานวิจัยประเภทใดเนื่องจากงานวิจัยแต่ละประเภทมีธรรมชาติที่แตกต่างกันในตอนนี้จะกล่าวเฉพาะการแบ่งประเภทงานวิจัยตามลักษณะของข้อมูลและการวิเคราะห์ ซึ่งแบ่งได้ 2 ประเภท คือการวิจัยเชิงปริมาณ(quantitative research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ(qualitative research) โดยมีขั้นตอนการวิจัยของการวิจัยแต่ละประเภท ดังนี้
ขั้นตอนการวิจัยเชิงปริมาณ
การวิจัยเชิงปริมาณเป็นกระบวนการนิรนัยเป็นการศึกษาหาความรู้ความจริงจากเหตุการณ์ต่างๆเป็นเรื่องของการความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรอย่างน้อย 2 ตัว ที่น่าเชื่อถือ เนื่องจากอาศัยข้อมูลเชิงประจักษ์ที่แจงนับและวัดได้มาเป็นหลักฐานยืนยันความถูกต้องของสมมติฐาน (คำตอบที่คาดการณ์ไว้ล่วงหน้า)และใช้ความรู้ทางสถิติในการวิเคราะห์ โดยทั่วไปมีขั้นตอนในการวิจัยหลักๆพอสรุปได้ดังนี้
ขั้นที่ 1 เตรียมการวิจัย เป็นขั้นตอนที่นักวิจัยต้องตัดสินใจเกี่ยวกับประเด็นหลักๆ ดังนี้
1.1 พิจารณาเลือกปัญหาที่ต้องการทำวิจัย นักวิจัยหลายท่านกล่าวว่าขั้นตอนของกระบวนการวิจัยที่สำคัญที่สุดคือ การกำหนดปัญหาการวิจัยเพราะว่า ปัญหาการวิจัยที่ดีก็จะเป็นเงื่อนไขที่ทำให้ได้งานวิจัยที่มีคุณภาพ ด้วยเหตุนี้จึงต้องระดมความคิดของผู้วิจัย และผู้ที่มีประสบการณ์เพื่อเลือกว่าจะทำวิจัยเกี่ยวกับปัญหาเรื่องอะไรดีก่อนที่จะเริ่มงานวิจัย เมื่อมีข้อมูลสนับสนุนเพียงพอแล้ว ผู้วิจัยก็สามารถตัดสินใจได้ว่าจะทำวิจัยเรื่องอะไรแน่นอน แล้วจึงดำเนินการตั้งชื่อเรื่อง กำหนดวัตถุประสงค์ และขอบเขตการวิจัย โดยเฉพาะชื่อเรื่องควรเกี่ยวข้องกับปัญหาที่ผู้วิจัยเลือกทำการวิจัยโดยบอกได้ว่าจะศึกษาหรือทำวิจัยอะไร เพื่ออะไร นั่นคือ บอกความสัมพันธ์ของตัวแปร ใช้ภาษาที่ชัดเจนเข้าใจง่าย กระชับ ไม่กำกวม และต้องสื่อความหมายตามเป้าหมาย และวัตถุประสงค์ของการวิจัย
1.2 ทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง มีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงให้เห็นว่า งานวิจัยที่ผู้วิจัยสนใจศึกษาเกี่ยวข้องกับงานวิจัยที่ผ่านมาอย่างไร ด้วยเหตุนี้ วรรณกรรมที่ทบทวนจึงต้องเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับปัญหาที่ผู้วิจัยกำลังศึกษาซึ่งจะช่วยให้ทราบว่ามีประเด็นอะไรที่ได้ศึกษาไปแล้วบ้างจะได้ไม่ซ้ำกับผู้วิจัยอื่น อีกครั้งช่วยให้ได้แนวคิดในการพัฒนาระเบียบวิธีการวิจัยให้เหมาะสมยิ่งขึ้น โดยทั่วไป ผู้วิจัยต้องทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องจากหลายแหล่งและเป็นปัจจุบัน แต่การทบทวนวรรณกรรมที่มีประสิทธิภาพนั้น นอกจากต้องใช้แหล่งข้อมูลที่มีคุณภาพแล้ว ผู้วิจัยต้องตระหนักว่าไม่ใช่เป็นเพียงแค่ศึกษาและรายงานวรรณกรรมแบบธรรมดาทั่วไปที่มักมีข้อจำกัดในเรื่องการเชื่อมโยงเนื้อหาแต่ควรควบคุมการวิพากษ์ผลการวิจัยที่ผ่านมาและชี้ให้เห็นว่าจะนำผลที่ศึกษาวิเคราะห์ได้ไปใช้ในการศึกษาของผู้วิจัยอย่างไร
1.3 กำหนดคำถามการวิจัยและสมมติฐานการวิจัย เมื่อผู้วิจัยได้ปัญหาการวิจัยพร้อมทั้งได้ทบทวนวรรณกรรมอย่างเพียงพอและเหมาะสมแล้ว ผู้วิจัยควรนำปัญหาการวิจัยมาแยกแยะเป็นคำถามย่อยๆซึ่งก็คือคำถามวิจัย(research question) โดยคำถามการวิจัยอาจเขียนเป็นประโยคบอกเล่าหรือเป็นคำถามก็ได้แต่ต้องมีความชัดเจน กระชับ และสามารถศึกษาวิจัยได้ซึ่งหมายถึงให้แนวทางเกี่ยวกับวิธีการวิจัย ว่าควรเป็นการวิจัยประเภทใด(วิจัยเชิงพรรณนาหรือวิจัยเชิงทดลอง)ตัวแปรที่ศึกษาคืออะไร และกลุ่มที่สนใจคือใคร ซึ่งคำถามการวิจัยจะนำมาสู่การตั้งสมมติฐานการวิจัย สมมติฐานที่ดีต้องกระชับและตอบปัญหาการวิจัย แต่ทั้งนี้ต้องอาศัยแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องเป็นทิศทางการทำนายผลลัพธ์ ซึ่งแสดงความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรตามที่ผู้วิจัยคาดเดาว่าน่าจะเป็นไปได้ และที่สำคัญคือทดสอบได้(testable) ลองพิจารณาจากตารางที่ 1ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์เชื่อมโยงระหว่างขอบเขตเนื้อหาที่ผู้วิจัยสนใจศึกษา ปัญหาการวิจัย/คำถามการวิจัย และสมมติฐานการวิจัยซึ่งจะเป็นแนวทางการออกแบบการวิจัยต่อไป
ตารางที่ 1 ความสัมพันธ์เชื่อมโยงระหว่างขอบเขตเนื้อหา ปัญหาการวิจัย คำถามการวิจัยและสมมติฐานการวิจัย ที่ผู้วิจัยสนใจศึกษา
ปัญหาการวิจัย/คำถามการวิจัย
สมมติฐานการวิจัย
การนิเทศของผู้บริหารกับประสิทธิภาพการสอน
(effective teaching)
การนิเทศการเรียนการสอนของผู้บริหารมีความสัมพันธ์กับประสิทธิภาพการสอนของครูหรือไม่
การนิเทศการเรียนการสอนของผู้บริหารมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับประสิทธิภาพการสอนของครู
ทักษะการทำแบบสอบ(test taking skills)และผลการสอน
นักเรียนที่ได้เรียนรู้ทักษะการทำแบบสอบจะมีผลการเรียนดีขึ้นหรือไม่
นักเรียนที่ได้เรียนรับการฝึกทักษะการทำแบบสอบจะมีผลการเรียนดีขึ้น
ขั้นที่ 2 ออกแบบวิจัยหรือออกแบบวิธีการเก็บข้อมูล เป็นขั้นตอนที่ผู้วิจัยต้องการตอบคำถามการวิจัยโดยการวางแผนล่วงหน้า ในการวางแผนหรืออกแบบวิจัยการวิจัยผู้วิจัยต้องนำปัญหาการวิจัย วัตถุประสงค์การวิจัย และคำถามการวิจัย มากำหนดกรอบความคิด ทฤษฎี สมมติฐานการวิจัย ตัวแปรที่เกี่ยวข้องขนาดกลุ่มตัวอย่าง วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล วิธีการวัดและเครื่องมือวัด และวิธีการวิเคราะห์ข้อมูล โดยทั่วไป การวิจัยเชิงปริมาณมีการออกแบบใน 2 ลักษณะ คือ การออกแบบเชิงพรรณนาซึ่งเป็นการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร(เก็บข้อมูลจากผู้ให้ข้อมูลเพียงครั้งเดียว) ส่วนการออกแบบเชิงทดลองซึ่งเป็นการศึกษาเชิงสาเหตุ(เก็บข้อมูลจากผู้ให้ข้อมูลก่อนและหลังทดลอง)และเพื่อให้ข้อค้นพบเชื่อถือได้ การทดลองแบบเชิงพรรณนาต้องใช้ผู้ให้ข้อมูล(subject) จำนวนหรือพันคน ส่วนการออกแบบเชิงทดลอง ผู้วิจัยไม่ต้องการผู้ให้ข้อมูลจำนวนมากมาย แต่ผู้วิจัยต้องระวังไม่ให้เกิดความลำเอียงในการเลือกกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม โดยการนำกลุ่มตัวอย่างที่สุ่มได้มาสุ่มเข้ากลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม(randomly assigned to treatments)
ขั้นที่ 3 ดำเนินการวิจัย ในขั้นตอนนี้ผู้วิจัยนำแผน ที่ได้ออกแบบการวิจัยมาให้รายละเอียดว่าจะดำเนินการอย่างไรให้เป็นรูปธรรม การดำเนินวิจัยจึงต้องครอบคลุมตั่งแต่การลำดับขั้นตอนการดำเนินการวิจัย การชี้แจงกับผู้ให้ข้อมูล การเก็บรวบรวมข้อมูลซึ่งผู้วิจัยจะเลือกวิธีใดขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการวิจัยและลักษณะข้อมูล(เป็นข้อมูลเชิงปริมาณหรือข้อมูลเชิงคุณลักษณะ) ระยะเวลา และงบประมาณ ครั้งนั้ต้องคำนึงถึงความครบถ้วนขอลข้อมูล ประหยัดเวลา ประหยัดงบประมาณ และประหยัดกำลังคน
ขั้นที่ 4 วิเคราะห์ข้อมูล เป็นขั้นตอนนี้ผู้วิจัยดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูลตามที่ได้ออกแบบทางด้านสถิติไว้ ข้อมูลที่เก็บรวบรวมได้นี้ผู้วิจัยต้องทำการตรวจความถูกต้องและความน่าเชื่อถือก่อนที่จะนำมาวิเคราะห์ โดยทั่วไปผู้วิจัยวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา เพื่อบรรยายลักษณะของข้อมูล เช่น คะแนนเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของการนิเทศของผู้บริหารกับประสิทธิภาพการสอน แต่ทั้งนี้ต้องเลือกสถิติให้เหมาะสมกับลักษณะของข้อมูล และเมื่อผู้วิจัยต้องการตรวจสอบความสัมพันธ์ของข้อมูลเหล่านี้ให้ลึกมากยิ่งขึ้น เช่น หาความสัมพันธ์ของตัวแปร เปรียบเทียบความแตกต่างของตัวแปรที่ศึกษา ก็เลือกใช้สถิติอ้างอิงให้เหมาะสมกับสมมติฐานการวิจัยที่ได้ตั้งไว้ ผลของการทดสอบที่ใช้สถิติอ้างอิงนี้จะช่วยในการตัดสินใจว่าข้อมูลที่เก็บรวบรวมได้เป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้หรือไม่ และยังช่วยในการอ้างอิงข้อค้นพบไปยังประชากรได้ เช่น สถิติทดสอบที(t test)ช่วยสรุปอ้างอิงค่าเฉลี่ยและบอกความสัมพันธ์ของตัวแปรที่ได้จากกลุ่มตัวอย่างและอ้างอิงไปยังประชากร หรือสถิติทดสอบไคกำลังสอง(Chi-squar) ช่วยสรุปอ้างอิงข้อมูลความถี่และความแปรปรวนของกลุ่มตัวอย่างไปยังประชากร โดยตัวแปรที่วัดต้องอยู่ในมาตรานามบัญญัติ(Nominal Scale)
ขั้นที่ 5 สรุปผลและอภิปรายการวิจัย เป็นขั้นตอนนี้ผู้วิจัยนำเสนอผลที่ได้จากการวิเคราะห์ตามลำดับของคำถามการวิจัยหรือตามลำดับวัตถุประสงค์หรือตามลำดับสมมติฐานการวิจัย การนำเสนอผลการวิจัยหรือข้อค้นพบในครั้งแรกนี้ ผู้วิจัยไม่ต้องอภิปรายหรือตีความ แต่ควรนำเสนอข้อมูลที่วิเคราะห์ได้ในรูปของตาราง กราฟ แผนภูมิ และมีการบรรยายข้อมูลซึ่งเป็นข้อเท็จจริงออกมาเป็นข้อความประกอบ ส่วนการอภิปรายผลการวิจัย ผู้วิจัยต้องเชื่อมโยงให้ได้ว่าข้อค้นพบนั้นสอดคล้องหรือขัดแย้งกับสมมติฐานที่ตั้งไว้อย่างไร และสอดคล้องหรือขัดแย้งกับแนวคิดทฤษฎีรวมถึงงานวิจัยที่ผ่านมาหรือไม่ โดยให้เหตุผลประกอบหรือสนับสนุนอย่างน่าเชื่อถือ(ใช้ข้อมูลจากการทบทวนวรรณกรรมให้เกิดประโยชน์) เพื่อให้ข้อสรุปมีความหนักแน่นจึงอาจกล่าวงได้ว่า การอภิปรายผลที่ดีสะท้อนถึงความเป็นมืออาชีพของผู้วิจัย
การตรวจสอบคุณภาพงานวิจัยเชิงปริมาณ
การตรวจสอบคุณภาพงานวิจัยเชิงปริมาณสามารถดำเนินการได้ชัดเจนกว่าการตรวจสอบคุณภาพงานวิจัยเชิงคุณภาพ ทั้งนี้เป็นเพราะว่า ลักษณะของงานวิจัยเชิงปริมาณใช้ข้อมูลเชิงตัวเลข โดยผู้วิจัยพยายามออกแบบวิธีการวิจัยให้มีการควบคุมตัวแปรที่ศึกษา ใช้เทคนิคการสุ่มตัวอย่างพร้อมจัดทั้งเตรียมเครื่องมือรวบรวมข้อมูลให้มีคุณภาพ จัดกระทำสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องให้เป็นมาตรฐาน และใช้วิธีการทางสถิติช่วยวิเคราะห์และประมวลข้อสรุปเพื่อให้เกิดความคลาดเคลื่อนน้อยที่สุด ด้วยเหตุนี้ เกณฑ์ที่ใช้ในการพิจารณาตัดสินคุณภาพงานวิจัยเชิงปริมาณจึงครอบคลุมใน 4 ประเด็น ดังนี้
1.1 ความตรงภายใน(internal validity) เป็นเกณฑ์ที่ใช้ในการตรวจสอบว่า ผลการวิจัยนั้นเกิดจากตัวแปรอิสระอย่างแท้จริงหรือไม่ หรืออาจกล่าวว่า ข้อมูลที่เก็บรวบรวมได้นั้นตรงตามวัตถุประสงค์ที่ผู้วิจัยต้องการวัดหรือไม่ ซึ่งพิจารณาได้จากเครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูลมีคุณภาพหรือไม่และมีการควบคุมตัวแปรเกินหรือไม่ (ในการวิจัยที่มีการควบคุมตัวแปรให้ศึกษาหลัก Max Min Con เพิ่มเติมใน Tuckman, 1999; ลัดดาวัลย์และอัจฉรา, 2545)
1.2 ความตรงภายนอก (external validity) เป็นเกณฑ์ที่ใช้ในการตรวจสอบว่า ผลการวิจัยนั้นสามารถอ้างอิง (generalization) หรือนำไปอภิปรายประชากรกลุ่มอื่นๆ ที่มีคุณลักษณะเช่นเดียวกันแต่อยู่ในสถานการณ์อื่นๆ ได้มากน้อยเพียงไร ซึ่งพิจารณาได้จากมีการสุ่มตัวอย่างอย่างเป็นระบบเพียงไร และกลุ่มตัวอย่างที่ได้มีความเป็นตัวแทนประชากรที่ดีหรือไม่
1.3 ความเที่ยง (reliability) เป็นเกณฑ์ที่ใช้ในการตรวจสอบความน่าเชื่อถือ ความสอดคล้อง และความไว้วางใจได้ของงานวิจัย โดยพิจารณาว่าข้อมูลที่วัดได้มีความคงที่หรือสอดคล้องกันในทุกครั้งที่มุ่งวัดหรือไม่ ถ้าข้อมูลไม่มีความเที่ยงก็ยากที่จะกล่าวได้ว่างานวิจัยมีความตรง (validity) ด้วยเหตุนี้ การเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยเครื่องมือที่มีคุณภาพจึงเป็นประเด็นสำคัญในการวิจัยเชิงปริมาณ
1.4 ความเป็นปรนัย (objectivity) เป็นเกณฑ์ที่ใช้ในการตรวจสอบความเป็นปรนัยหรือเป็นกลางของงานวิจัย โดยที่ผู้วิจัยไม่มีความลำเอียงใดๆ ในการดำเนินการวิจัย ซึ่งพิจารณาได้จากความตรงภายใน ความตรงภายนอก และความเที่ยงของงานวิจัย ดังได้กล่าวไว้แล้ว
ขั้นตอนการวิจัยเชิงคุณภาพ
การวิจัยเชิงคุณภาพเป็นกระบวนการอุปนัย (inductive) ที่อาศัยข้อเท็จจริงหรือข้อมูลต่างๆ เชิงคุณลักษณะเพื่อสร้างเป็นข้อสรุปหรือกฎเกณฑ์ ซึ่งหมายถึงใช้เหตุผลจากส่วนย่อยที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ศึกษาแล้วสังเคราะห์ให้เกิดภาพรวม (holistic) เพื่อให้เกิดความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในประเด็นที่ศึกษา อาจกล่าวได้ว่า ขั้นตอนการวิจัยเชิงคุณภาพต้องใช้เวลาติดตามระยะยาวเพื่อให้เห็นพลวัตร (dynamism) ของปรากฏการณ์ที่เป็นจริง เป็นการหารายละเอียดต่างๆ ของกลุ่มเป้าหมายที่ทำการศึกษาโดยบรรยายลักษณะข้อมูลมากกว่าการนำเสนอในรูปตัวเลข โดยทั่วไปมีขั้นตอนการวิจัยหลักๆ พอสรุปได้ดังนี้
ขั้นที่ 1 เตรียมการวิจัยและออกแบบการวิจัย เป็นขั้นตอนสำคัญที่นักวิจัยต้องตัดสินใจเกี่ยวกับประเด็นดังนี้
1. กำหนดเรื่องการวิจัย เป็นขั้นตอนที่ผู้วิจัยต้องระดมความคิดและประสบการณ์ เพื่อพิจารณาเลือกและกำหนดเรื่องที่สนใจศึกษาก่อนที่งานวิจัยจะเริ่มต้น
2. ออกแบบการวิจัย ซึ่งควรพิจารณาองค์ประกอบหลัก 5 ประการ คือ
21.วัตถุประสงค์ของการวิจัย (research purposes) โดยพิจารณาว่าเป้าหมายที่สำคัญที่สุดของการศึกษาวิจัยคืออะไร เพราะเหตุใดจึงสนใจศึกษาเรื่องนี้และสิ่งที่ศึกษามีคุณค่าอย่างไร การศึกษาครั้งนี้ต้องการที่จะอธิบายในประเด็นใดบ้างและประเด็นเหล่านั้นจะช่วยชี้แนะแนวทางการศึกษาวิจัยได้อย่างไร
2.2 กรอบแนวคิดเกี่ยวกับบริบทที่ศึกษา (conceptual context) โดยพิจารณาว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับปรากฏการณ์หรือสภาพแวดล้อมที่ผู้วิจัยสนใจศึกษา มีแนวคิดทฤษฎีอะไรหรือข้อค้นพบใดที่เกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์ดังกล่าวเพื่อช่วยให้ผู้วิจัยใช้เป็นแนวทางการวิจัย โดยทั่วไปแนวคิดทฤษฎีมาจากแหล่งสำคัญ 4 แหล่ง ได้แก่ (1) ทฤษฎีและผลการวิจัยที่มีอยู่เดิม (2) ผลของการศึกษานำร่องหรือการวิจัยเบื้องต้นที่นักวิจัยได้ทำไว้แล้ว (3) ประสบการณ์ของนักวิจัยเอง และ (4) การทดสอบความคิดของนักวิจัยเอง (thought experiments)
3. คำถามการวิจัย (research questions) โดยพิจารณาว่าในการศึกษาครั้งนี้ นักวิจัยต้องการที่จะเข้าใจหรือเรียนรู้สิ่งใดเป็นการเฉพาะ และมีประเด็นอื่นๆ หรือไม่ที่ต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมนอกเหนือจากนั้น
4. วิธีการศึกษา (methods) มีประเด็นที่ควรคำนึง คือ (1) ความสัมพันธ์ระหว่างนักวิจัยกับกลุ่มบุคคลที่เป็นเป้าหมายต้องเป็นความสัมพันธ์ที่ดี ราบรื่น มีความไว้วางใจซึ่งกันและกัน (2) การกำหนดสถานที่ศึกษาและการเลือกตัวอย่าง โดยทั่วไปมักจะใช้การเลือกตัวอย่างแบบเจาะจง (purposive sampling) ซึ่งมีแนวทางหลายประการขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนักวิจัยว่าแนวทางไหนจะช่วยให้เกิดความเข้าใจปรากฏการณ์ที่จะศึกษาได้อย่างชัดเจนที่สุด เช่น เลือกเฉพาะผู้ที่ให้ข้อมูลสำคัญได้ (key informant) หรือเลือกตัวอย่างแบบเลือกต่อๆ กัน (snowball sampling) หรือเลือกเฉพาะตัวอย่างที่มีลักษณะตามที่ต้องการศึกษาชัดเจน (extremely cases) เป็นต้น และ (3) การกำหนดหรือออกแบบวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลโดยวิธีต่างๆ เพื่อตรวจสอบความถูกต้องและความเชื่อถือได้ของข้อมูล
5. ความตรง (validity) นักวิจัยเชิงคุณภาพต้องให้ความสำคัญกับความน่าเชื่อถือได้และความถูกต้องของข้อมูล โดยพิจารณาว่า ในขณะที่ทำการเก็บข้อมูลต้องตรวจสอบว่าข้อมูลที่ได้มาสอดคล้องกับบริบทของชุมชนและสังคมนั้นๆ หรือไม่ มีประโยชน์มากน้อยเพียงใด สนับสนุนคำถามวิจัยที่ตั้งไว้เพียงไร ทั้งนี้เพื่อหาทางปรับแก้ไขปัจจัยที่อาจคุกคามต่อความตรงที่มีผลต่อข้อสรุปในการศึกษาได้ทันท่วงที
ขั้นที่ 2 กำหนดสมมติฐานในการทำงาน เป็นขั้นตอนที่ผู้วิจัยหาแนวทางการแสวงหาความเป็นจริงของสภาพสังคมนั้น ๆ โดยพิจารณาดังนี้
§ กำหนดสมมติฐานชั่วคราว ซึ่งไม่ยึดทฤษฎีเป็นกรอบนำทางการวิจัยมาก่อนเพราะจะทำให้เกิดอคติได้ แต่ทั้งนี้มิได้หมายความว่าการวิจัยเชิงคุณภาพละเลยแนวคิดทฤษฎีที่สำคัญ เพราะในทุกขั้นตอนของกระบวนการวิจัยนับตั้งแต่ก่อนเริ่มเก็บข้อมูล (ดังจะเห็นได้จากการออกแบบการวิจัย) ระหว่างการเก็บข้อมูล และวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อสร้างบทสรุป แนวคิดทฤษฎี สามารถช่วยให้ผู้วิจัยมีมุมมองปัญหาในหลาย ๆ ด้าน มีระบบในการศึกษาปรากฏการณ์ และช่วยให้ผู้วิจัยเชื่อมโยงข้อค้นพบที่ได้กับแนวคิดทฤษฎีที่ได้ศึกษาไว้แล้ว ซึ่งในท้ายที่สุดก็จะเห็นแนวคิดทฤษฎีก่อตัวขึ้นจากข้อมูลที่เป็นรูปธรรมดังที่เรียกว่า ทฤษฎีฐานราก (grounded theory)
ขั้นที่ 3 ดำเนินการวิจัย เป็นขั้นตอนที่ผู้วิจัยเก็บข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อหาข้อสรุปหรือตั้งสมมติฐานจากข้อเท็จจริงที่พบจากการวิจัย โดยดำเนินการดังนี้
§ 3.1 รวบรวมข้อมูลและบันทึกข้อมูล เนื่องจากการวิจัยเชิงคุณภาพมีข้อมูลเป็นเชิงคุณลักษณะที่เกี่ยวกับสภาพแวดล้อม บริบททางสังคมหรือวัฒนธรรม ความรู้สึกนึกคิด การให้ความหมายหรือคุณค่ากับสิ่งต่าง ๆ ตลอดจนค่านิยมหรืออุดมการณ์ของบุคคล ผู้วิจัยจึงต้องใช้การบันทึกข้อมูลแบบพรรณนาซึ่งผู้วิจัยต้องออกไปสัมผัสเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยตนเองและต้องใช้ระยะเวลา เพราะต้องสร้างความคุ้นเคยสนิทสนมกับกลุ่มเป้าหมายก่อน โดยทั่วไปเทคนิควิธีการเก็บข้อมูลที่ใช้อย่างกว้างขวางและมีประสิทธิภาพคือ การสังเกตแบบมีส่วนร่วม (participant observation) การสัมภาษณ์เชิงลึก (in-depth interview) และการสนทนากลุ่ม (focus group discussion) ซึ่งจะกล่าวพอสังเขปดังนี้
3.1.1 การสังเกตแบบมีส่วนร่วม (participant observation) เป็นการเก็บข้อมูลที่ผู้วิจัยใช้ประสาทสัมผัสอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างพร้อมกัน ซึ่งจะเก็บรวบรวมข้อมูลได้ก็ต้องเข้าไปอยู่และปฏิบัติตนให้เป็นส่วนหนึ่งของชุมชนที่ต้องการศึกษา ทั้งนี้สิ่งที่ผู้วิจัยพึงระวังคือ ไม่นำการรับรู้จากประสบการณ์เดิมของตนมาปะปนกับสิ่งที่ตนกำลังสังเกต เพราะจะทำให้ละเลยข้อมูลสำคัญบางประการไป และบางครั้งจะเกิดความลำเอียงในการศึกษาวิจัย
3.1.2 การสัมภาษณ์เชิงลึก (in-depth interview) เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลที่ผู้วิจัยใช้ภาษาในการสื่อสาร พูดคุย เพื่อให้ได้ข้อมูลด้านต่าง ๆ ทั้งข้อเท็จจริง ข้อมูลความคิดเห็นและเจตคติ รูปแบบการสัมภาษณ์นั้นมีตั้งแต่การสัมภาษณ์อย่างเป็นทางการที่ใช้คำถามทั้งที่มีโครงสร้างและกึ่งโครงสร้าง และไม่เป็นทางการที่ใช้การพูดคุยอย่างเป็นกันเองเพื่อค้นหาความจริงจากผู้ให้สัมภาษณ์ โดยปรกติการสัมภาษณ์ประเภทนี้มักจะใช้ศึกษาในประชากรกลุ่มเล็ก ๆ อาศัยความสามารถพิเศษของผู้สัมภาษณ์เพื่อค้นหารายละเอียดในประเด็นที่ศึกษาอย่างลึกซึ้ง เพื่อให้ผู้ถูกสัมภาษณ์แสดงความคิดเห็น ให้คำอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับความสำคัญของเรื่องและสถานการณ์ ตลอดจนความเชื่อและความหมายในแง่มุมต่าง ๆ อย่างลึกซึ้ง
3.1.3 การสนทนากลุ่ม (focus group discussion) เป็นการรวบรวมข้อมูลที่ผู้วิจัยได้จากการสนทนากับกลุ่มผู้ให้ข้อมูลในประเด็นที่เฉพาะเจาะจง โดยส่วนใหญ่ผู้วิจัยเป็นผู้ดำเนินการสนทนาเพื่อคอยจุดประเด็นและชักจูงให้กลุ่มเกิดแนวคิดและแสดงความคิดเห็นต่อประเด็นการสนทนาอย่างกว้างขวางละเอียดลึกซึ้ง ตามปรกติมีผู้เข้าร่วมสนทนาในแต่ละกลุ่มประมาณ 6-10 คน ซึ่งคัดเลือกมาจากประชากรเป้าหมายที่กำหนดไว้
§ 3.2 วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ ในการนี้ผู้วิจัยตีความข้อมูลที่ได้จากคำพูด ความรู้สึกหรือความคิดเห็นของผู้ให้ข้อมูล โดยการจำแนกและจัดระบบข้อมูลให้เป็นเชิงรูปธรรมย่อย ๆ เพื่อตอบคำถามว่า มีอะไรเกิดขึ้น เป็นอย่างไร และเปรียบเทียบหาความสัมพันธ์ของข้อมูล พร้อมทั้งเชื่อมโยงลักษณะร่วมที่พบกับแนวคิดทฤษฎีที่ได้ศึกษาไว้ เพื่อให้ความหมายแก่ข้อค้นพบที่ได้ โดยใช้วิธีการสร้างข้อสรุปแบบอุปนัย (inductive) หากเป็นการค้นคว้าข้อมูลจากเอกสาร (documentary research) ก็จะใช้การวิเคราะห์เนื้อหา (content analysis) นักวิจัยเชิงคุณภาพไม่ได้ให้ความสำคัญกับการใช้เครื่องมือทางสถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล หรือถ้าใช้ก็เพื่อรวบรวมจัดหมวดหมู่ของข้อมูลให้เป็นระบบซึ่งช่วยให้ง่ายต่อการมองหาความสัมพันธ์ของตัวแปรมากขึ้น (ศึกษาเพิ่มเติมใน สุภางค์ จันทวานิช, 2546)
ขั้นที่ 4 เสนอผลการวิจัย เป็นขั้นตอนที่ผู้วิจัยเขียนรายงานการวิจัยโดยพรรณนาให้เห็นรายละเอียดเกี่ยวกับสภาพทั่วไปของชุมชนหรือกรณีที่ศึกษาเพื่อให้มีความชัดเจนในเรื่องพฤติกรรมมนุษย์ตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการศึกษา ทั้งนี้ควรแบ่งเนื้อหาออกเป็นส่วน ๆ แต่ละส่วนต้องมีความชัดเจนว่าผู้วิจัยต้องการนำเสนออะไรเพื่อให้ผู้อ่านได้เข้าใจสิ่งที่ผู้วิจัยกล่าวไว้อย่างเต็มที่และลีลาการเขียนควรเป็นภาษาพูดมากกว่าภาษาทางการซึ่งเป็นลักษณะการเขียนแบบเล่าเรื่อง (narrative) แต่ทั้งนี้ต้องระมัดระวังการบรรยายของผู้วิจัย เพราะอาจมีผลต่อการตีความที่ทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนได้
การตรวจสอบคุณภาพงานวิจัยเชิงคุณภาพ
งานวิจัยเชิงคุณภาพมักได้รับการกล่าวหาว่าเป็นงานวิจัยที่ไม่น่าเชื่อถือ เมื่อเปรียบเทียบกับงานวิจัยเชิงสาเหตุซึ่งเป็นประเภทงานวิจัยเชิงปริมาณที่ได้ผ่านกระบวนการตรวจสอบทั้งในเรื่องของความตรงภายใน (internal validity) และความตรงภายนอก (external validity) การทดสอบความเที่ยงของเครื่องมือ (reliability) ตลอดจนความเป็นปรนัยของการวิจัย (objectivity) ด้วยเหตุนี้นักวิจัยในศาสตร์นี้ เช่น Lincoln และ Guba (1985) จึงได้พยายามพัฒนาแนวคิดเพื่อตรวจสอบความเชื่อถือได้ของงานวิจัยเชิงคุณภาพ (trustworthiness) โดยนำเสนอเกณฑ์คุณภาพที่สะท้อนลักษณะธรรมชาติของการวิจัยประเภทนี้ได้อย่างดีใน 4 ประเด็น ซึ่งกล่าวพอสังเขปดังนี้
1. ความเชื่อถือได้ (credibility) เป็นเกณฑ์ที่ใช้ตรวจสอบความถูกต้อง ความเพียงพอ ความเหมาะสม และความสอดคล้องของข้อมูล รวมถึงการตีความของผู้วิจัยต่อความเป็นจริงในระดับต่าง ๆ ของความคิดทั้งของผู้ให้ข้อมูลและนักวิจัยเอง ในเรื่องความเชื่อถือได้นี้ นอกจากจะต้องใช้ระยะเวลาในการเก็บข้อมูล Patton (1990) ยังได้เสนอให้นักวิจัยใช้หลักการตรวจสอบแบบสามเส้า (triangulation) คือ ตรวจสอบข้อมูลจากหลายแหล่ง หรือใช้วิธีตรวจสอบหลายวิธี หรือใช้ผู้วิเคราะห์หลายคน หรือใช้มุมมองทางทฤษฎีหลาย ๆ ทฤษฎีตรวจสอบซึ่งกันและกัน ซึ่งการตรวจสอบประเภทนี้อาจเปรียบได้กับการตรวจสอบความตรงภายใน (internal validity) ของงานวิจัยเชิงปริมาณ
2. การถ่ายโอนผลงานวิจัย (transferability) เป็นเกณฑ์ที่ใช้เพื่อตรวจสอบความสามารถในการอ้างอิงผลการวิจัยไปยังสภาพการณ์ในบริบทที่คล้ายคลึงกัน ด้วยเหตุนี้จึงพิจารณาจากการใช้กลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง ความครอบคลุมแนวคิดและมุมมองของทฤษฎีฐานราก (grounded theory) รวมทั้งการหาข้อสนเทศในมิติต่าง ๆ อย่างครบถ้วนตามแนวคิดในสมมติฐานที่สร้างขึ้น ประเด็นดังกล่าวเป็นแนวทางทำให้เกิดการถ่ายโอนผลการวิจัยไปสู่บริบทอื่น ๆ ที่คล้ายคลึงกันได้ ซึ่งเป็นลักษณะเดียวกันกับการตรวจสอบความตรงภายนอก (external validity/generalization) ของงานวิจัยเชิงปริมาณ
3. การพึ่งพากับเกณฑ์อื่น ๆ (dependability) เป็นเกณฑ์ที่ใช้เพื่อตรวจสอบความสามารถที่บอกถึงความเที่ยงหรือความคงที่ของงานวิจัย โดยใช้วิธีการ “inquiry audit” ซึ่งเป็นการนำวิธีอื่น ๆ รวมกันในการตรวจสอบ เช่นเดียวกับการตรวจสอบแบบสามเส้าเพื่อดูว่าผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจะไปในทิศทางเดียวกัน สนับสนุนกัน หรือขัดแย้งกัน (Lincoln & Guba, 1985) ซึ่งอาจเปรียบได้กับการตรวจสอบความเที่ยง (reliability) ของงานวิจัยเชิงปริมาณ
4. การยืนยันผล (confirmability) เป็นเกณฑ์ที่ใช้เพื่อการตรวจสอบความสามารถในการยืนยันข้อค้นพบที่ได้ ซึ่งหมายถึงการรายงานข้อค้นพบที่ตรงไปตรงมา ไม่เอนเอียงไปด้านใดด้านหนึ่ง และมีความเป็นกลาง อาจเปรียบได้กับการตรวจสอบความเป็นปรนัย (objectivity) ของงานวิจัยเชิงปริมาณ ในเรื่องนี้ Lincoln และ Guba ได้เสนอแนวทางการตรวจสอบเพื่อยืนยันความเป็นปรนัยของผลการวิจัยว่า ควรมีหลักฐานร่องรอยที่ประกอบด้วย 1) ข้อมูลดิบที่มาจากหลายแหล่ง 2) บันทึกข้อมูลที่ได้วิเคราะห์ 3) ผลงานคร่าว ๆ ที่แสดงถึงการก่อร่างของแนวคิดและการสังเคราะห์แนวคิด 4) บันทึกกระบวนการวิจัย 5) บันทึกส่วนตัวของผู้วิจัยที่แสดงถึงการมองปัญหาอย่างชัดเจน และ 6) การลงข้อสรุปในเบื้องต้น นอกจากนี้ การตรวจสอบข้อค้นพบโดยเปรียบเทียบกับงานวิจัยของคนอื่นที่ทำเรื่องคล้ายคลึงกันก็เป็นอีกแนวทางหนึ่ง
จากที่กล่าวมาแล้วจะเห็นได้ว่าการวิจัยทั้งสองประเภทมีความแตกต่างกัน การวิจัยเชิงปริมาณเป็นการศึกษาหาความจริงที่ใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ โดยการเก็บรวบรวมข้อมูลซึ่งเป็นตัวเลขอย่างเป็นระบบ และทดสอบได้ซึ่งทำให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสามารถนำผลการวิจัยไปใช้อ้างอิงได้ ส่วนการวิจัยเชิงคุณภาพเป็นการศึกษาหาความจริงที่ใช้การตีความข้อมูลที่มีลักษณะเป็นนามธรรม ใช้ติดตามระยะยาวและเจาะลึกเพิ่อให้เข้าใจการเปลี่ยนแปลงของปรากฏการณ์สังคมอย่างลึกซึ้ง ทั้งนี้งานวิจัยทั้งสองประเภทต่างก็มีเกณฑ์ของตัวเองที่ใช้พิจารณาคุณภาพ ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผู้บริโภคงานวิจัยเป็นหลัก สำหรับแนวโน้มการวิจัยทางการศึกษาในปัจจุบัน นักวิจัยทางการศึกษาได้ให้ความสำคัญกับการวิจัยเชิงคุณภาพมากขึ้นหรือมีความพยายามที่จะใช้วิธีผสมผสานระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ทั้งนี้เนื่องจากการวิจัยในแต่ละประเภทต่างก็มีทั้งจุดแข็งและจุดอ่อน การใช้วิธีการหนึ่งมาช่วยสนับสนุนอีกวิธีการหนึ่งในการตอบคำถามการวิจัยก็จะช่วยให้มีพลังมากยิ่งขึ้นในการแสวงหาคำตอบของงานวิจัย (Tashakkori & Teddlie, 1998 อ้างถึงใน โกศล มีคุณ, 2551) ด้วยเหตุนี้ ผู้วิจัยจึงต้องเลือกแนวทางการวิจัยให้เหมาะสมกับคำถามวิจัยมากกว่าความพอใจส่วนตัวหรือใช้สัญชาตญาณของผู้วิจัยเอง และผู้วิจัยอาจออกแบบการวิจัยที่ผสมผสานทั้งการวิจัยเชิงปริมาณและการวิจัยเชิงคุณภาพประกอบกันเป็น a mixed method design สำหรับความหาย แนวคิด และแนวทางการผสมผสานระหว่างสองวิธีจะได้กล่าวในตอนต่อไปนี้
การวิจัยทางเลือกใหม่
ในส่วนนี้จะได้นำเสนอการวิจัยทางเลือกใหม่เพิ่มเติมจากการวิจัยเชิงปริมาณและการวิจัยเชิงคุณภาพอีก 2 แนวทางพอสังเขป คือ การวิจัยแบบผสมผสาน และการวิจัยสถาบัน
1.1 การวิจัยแบบผสมผสาน
ดังได้กล่าวมาแล้วว่า การวิจัยเชิงปริมาณและการวิจัยเชิงคุณภาพต่างก็มีกระบวนทัศน์ (paradigm) หรือมีชุดของความคิดหรือความเชื่อพื้นฐาน (a set of basic beliefs) ที่มีลักษณะเฉพาะตัวที่นักวิธีวิทยาแต่ละกลุ่มยึดเป็นแนวทางหลักในการศึกษาหาความรู้ความจริง สำหรับการวิจัยแบบผสมผสาน (mixed method research) อาจกล่าวได้ว่าเป็นกระบวนทัศน์การวิจัยอีกแนวหนึ่งของการวิจับทางการศึกษาที่มีโลกทัศน์ (worldview) เป็นของตนเองในการสืบค้นหาความรู้ความจริงได้อย่างสอดคล้องกับธรรมชาติของประเด็นปัญหาที่สนใจและเหมาะสมกับบริบทของการศึกษาวิจัย (Tashakkori & Teddlie, 2003 อ้างถึงใน Commonwealth of Learning, 2004: 7) การวิจัยแนวนี้ไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อแทนที่การวิจัยเชิงปริมาณหรือการวิจัยเชิงคุณภาพ แต่กลับช่วยเติมเต็มประเด็นที่เป็นจุดอ่อนของกระบวนทัศน์ทั้งสอง ซึ่งอาจเปรียบได้ว่าการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพอยู่คนละขั้วโดยมีการวิจัยแบบผสมผสานอยู่ระหว่างกลางของทั้งสองขั้ว
ความหมายและความสำคัญของการวิจัยแบบผสมผสาน
Johnson และ Onwuegbuzie (2004:17) ให้ความหมายของการวิจัยแบบผสมผสาน (mixed method research) ว่าเป็นวิธีการวิจัยที่ผู้วิจัยผสมผสานหรือบูรณาการระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพทั้งในเรื่องเทคนิค วิธีการ แนวทาง ความคิดรวบยอด หรือภาษาในการวิจัยเรื่องเดียวกันเพื่อที่จะสามารถตอบคำถามการวิจัยได้สมบูรณ์ขึ้น และสอดคล้องกับคำจำกัดความของสถาบันการเรียนรู้ Commonwealth of Learning (2004:6) ซึ่งเป็นองค์กรฝึกอบรมทางไกลด้านการวิจัยและประเมินผลที่กล่าวว่า การวิจัยแบบผสมผสานเป็นการรวมวิธีการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพเข้าด้วยกัน ซึ่งช่วยให้ใช้ประโยชน์จากจุดเด่นของการวิจัยแต่ละแนวทางได้อย่างดี พร้อมทั้งช่วยชดเชยจุดอ่อนของการวิจัยในแต่ละวิธีได้ ซึ่งหมายถึงผู้วิจัยสามารถนำจุดเด่นของการวิจัยเชิงปริมาณมาแก้ไขจุดด้อยของการวิจัยเชิงคุณภาพ ขณะเดียวกันอาจใช้จุดเด่นของการวิจัยเชิงคุณภาพมาใช้แก้ไขจุดด้อยของการวิจัยเชิงปริมาณ
แนวคิดของการวิจัยแบบผสมผสาน
Tashakkori และ Teddlie (1998, อ้างถึงใน โกศล มีคุณ, 2551: 31) ได้ศึกษาแนวคิดของผู้เชี่ยวชาญด้านการวิจัยและได้สรุปว่า วิธีวิจัยแบบผสมผสานเป็นวิธีวิจัยที่มีพัฒนาการมาจากการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ดังแผนภาพที่ 1
แผนภาพที่ 1 วงจรวิจัย (หรือวงจรของวิธีการทางวิทยาศาสตร์) (Tashakkori และ Teddlie, 1998 อ้างถึงใน โกศล มีคุณ, 2551: 31)
จากแผนภาพ จะเห็นได้ถึงความเชื่อมโยงระหว่างวิธีการแสวงหาความรู้โดยวิธีการอุปนัย (inductive approach) และวิธีการนิรนัย (deductive approach) โดยด้านซ้ายมือเป็นการแสวงหาความรู้โดยหลักอุปนัยซึ่งเป็นแนวทางของการวิจัยเชิงคุณภาพ และด้านขวามือเป็นการแสวงหาความรู้โดยหลักนิรนัยซึ่งเป็นแนวทางของการวิจัยเชิงปริมาณ เมื่อการดำเนินการวิจัยทำได้ครบวงจรการวิจัยดังแผนภาพ ก็เท่ากับได้ใช้หลักการของการวิจัยทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพมาผสมผสานกัน ซึ่งจะช่วยให้ข้อค้นพบมีความน่าเชื่อถือและมีความครอบคลุมมากยิ่งขึ้น
แบบแผนของการวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Methods Research)
การนำวิธีการวิจัยที่แตกต่างกันมารวมกันในการวิจัยทางสังคมศาสตร์นั้นมีหลายวิธี แต่สถาบันการเรียนรู้ Commonwealth of Learning ได้เสนอแนะว่า ก่อนอื่นควรทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่างการศึกษาแบบพหุวิธี (multi-method studies) กับการศึกษาแบบผสมผสาน (mixed method studies) ดังนี้
การศึกษาแบบพหุวิธี
การศึกษาแบบพหุวิธี (multi-method studies) เป็นการศึกษาวิจัยที่ผู้วิจัยใช้กระบวนทัศน์เดียวกัน แต่ใช้วิธีการที่หลากหลายในการเก็บรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูล แต่ทั้งนี้ต้องสอดคล้องกับกระบวนทัศน์ที่ผู้วิจัยสนใจ ตัวอย่างเช่น นักวิจัยสนใจศึกษาเชิงคุณภาพโดยใช้การสังเกตแบบมีส่วนร่วมพร้อมทั้งใช้การสัมภาษณ์กลุ่มตัวอย่าง หรือนักวิจัยสนใจศึกษาเชิงปริมาณโดยสำรวจทัศนคติของนักเรียนพร้อมทั้งเก็บข้อมูลที่คอมพิวเตอร์ได้บันทึกไว้เกี่ยวกับความถี่ที่นักเรียนเข้าใช้สื่อการสอนทางเว็บไซต์ (web-based course materials) เป็นต้น
การศึกษาแบบผสมผสาน
การศึกษาแบบผสมผสาน (mixed method studies) เป็นความพยายามที่จะนำวิธีการต่าง ๆ จากแนวคิดหรือกระบวนทัศน์ที่แตกต่างกันมาไว้ด้วยกัน นักวิจัยที่สนใจศึกษาวิธีวิจัยแบบผสมผสานอาจจะเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้การสัมภาษณ์แบบกึ่งมีโครงสร้างกับนักเรียนจำนวนไม่มากนักพร้อมกับทำการสำรวจกับนักเรียนกลุ่มใหญ่ ๆ การผสมผสานระหว่างวิธีวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพเช่นนี้บางครั้งอาจเรียกว่า multi-strategy research
จะเห็นได้ว่าการศึกษาแบบพหุวิธีและแบบผสมผสานมีความแตกต่างกัน เมื่อไม่นานมานี้ Tashakkori และ Teddlie (2003 อ้างถึงใน Commonwealth of Learning, 2004: 8) ได้จำแนกให้เห็นความแตกต่างระหว่างการวิจัยในสองแนวทางนี้ ดังตารางที่ 2
ตารางที่ 2 การออกแบบการวิจัยแบบพหุวิธีและแบบผสมผสาน
A การออกแบบการวิจัยแบบพหุวิธี
(Multi-method Designs)
B การออกแบบการวิจัยแบบผสมผสาน
(Mixed methods Designs)
ใช้วิธีการศึกษามากกว่าหนึ่งวิธีแต่เป็นวิธีที่เลือกมาจากกระบวนทัศน์เดียวกัน (เช่น แนวทางเชิงปริมาณหรือเชิงคุณภาพ)ใช้วิธีการผสมผสานทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ
รูปแบบ:
A1 การศึกษาเชิงปริมาณแบบพหุวิธี (multi method quantitative studies)
A2 การศึกษาเชิงคุณภาพแบบพหุวิธี (multi method qualitative studies)
รูปแบบ:
B1 การศึกษาแบบวิธีผสมผสาน (mixed method studies)
B2 การศึกษาแบบรูปแบบผสมผสาน (mixed model studies)
ที่มา: การออกแบบการวิจัยแบบพหุวิธีและแบบผสมผสาน (ปรับจาก Tashakkori and Teddlie, 2003:11, อ้างถึงใน Commonwealth of Learning, 2004: 8)
จากตารางที่ 2 จะเห็นได้ว่าการออกแบบการวิจัยแบบพหุวิธี (multi-method designs) มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเสริมแหล่งข้อมูลซึ่งกันและกัน หรืออาจเรียกว่าเป็นการช่วยตรวจสอบข้อมูลโดยการใช้แหล่งข้อมูลที่แตกต่างกัน (triangulation) เพื่อที่จะตรวจสอบปัญหาการวิจัยจากมุมมองที่หลากหลาย แต่ทั้งนี้วิธีการเก็บรวบรวมต้องสอดคล้องกับกระบวนทัศน์หรือความเชื่อของผู้วิจัย การออกแบบการวิจัยแบบพหุวิธีมี 2 แบบ คือ
A1 การศึกษาเชิงปริมาณแบบพหุวิธี (multi-method quantitative studies) เป็นการออกแบบที่ยึดกระบวนทัศน์เชิงปริมาณ (quantitative paradigm) ตัวอย่างเช่น การวิจัยในแนวนี้อาจใช้การสำรวจทางไปรษณีย์กับนักเรียนที่อยู่ไกล พร้อมทั้งเก็บข้อมูลอื่นกับนักเรียนชุดเดียวกันนี้จากแหล่งอื่น ๆ ด้วย ซึ่งอาจเป็นข้อมูลที่ได้บันทึกไว้ การออกแบบการวิจัยลักษณะนี้จึงยอมให้นักวิจัยตรวจสอบความสอดคล้องของข้อมูลโดยใช้แหล่งข้อมูลที่หลากหลาย
A2 การศึกษาเชิงคุณภาพแบบพหุวิธี (multi-method qualitative studies) เป็นการออกแบบที่อาจรวมการสัมภาษณ์นักเรียน การสังเกตที่ได้มาจากการสนทนาโต้ตอบทาง e-mail และการสัมภาษณ์บุคลากร แนวคิดในการออกแบบการวิจัยแนวนี้ก็เช่นเดียวกับ A1 คือตรวจสอบความสอดคล้องของข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ และเพื่อที่จะใช้ข้อมูลสนับสนุนกัน
สำหรับการออกแบบการวิจัยแบบผสมผสาน (mixed methods designs) นั้นค่อนข้างจะซับซ้อน เป็นการออกแบบที่อาจจะมีพื้นฐานของการใช้แหล่งข้อมูลที่แตกต่างกัน (triangulation) ตามกระบวนทัศน์ที่สนใจศึกษา แต่ทว่าแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ได้กลายมาเป็นแหล่งข้อมูลที่ใช้อธิบายปัญหาการวิจัยเดียวกันในมุมมองที่ต่างกัน การออกแบบการวิจัยแบบผสมผสานมี 2 แบบ คือ
B1 การวิจัยแบบวิธีผสมผสาน (mixed method studies) เป็นการวิจัยที่เน้นวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลที่ได้มาจากแหล่งข้อมูลที่แตกต่างกันโดยใช้ทั้งแหล่งข้อมูลเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ตัวอย่างเช่น ผู้วิจัยใช้วิธีการสำรวจแล้วตามด้วยการสัมภาษณ์เป็นรายบุคคล หรือใช้การสังเกตเพื่อเป็นแนวทางการสร้างแบบสอบถาม ทั้งนี้ Johnson และ Onwuegbuzie (2004: 22) ได้เสนอแบบแผนการวิจัยแบบผสมผสาน จำนวน 9 แบบแผน ดังนี้
ลำดับเวลา
คู่ขนาน (Concurrent)
ลำดับ (Sequential)
สถานภาพ
เท่าเทียม
1. QUAL + QUAN
2. QUAL à QUAN
3. QUAN à QUAL
ไม่เท่าเทียม
4. QUAL + quan
5. QUAN + qual
6. QUAL à quan
7. qual à QUAN
8. QUAN à qual
9. quan à QUAL
แผนภาพที่ 2 แบบแผนการวิจัยแบบผสมผสาน (Johnson and Onwuegbuzie, 2004 : 22)
หมายเหตุ: “qual” หมายถึง qualitative, “quan” หมายถึง quantitative, “+” หมายถึง เหตุการณ์คู่ขนาน, “à” หมายถึง ลำดับเวลาก่อนหลัง, อักษรตัวใหญ่แสดงถึงความสำคัญมากกว่าอักษรตัวเล็ก
จากตาราง ถ้าพิจารณาจาก “สถานภาพ” จะพิจารณาได้ 2 กรณี คือ
กรณีที่ 1 แบบแผนที่การวิจัยเชิงปริมาณและคุณภาพมีสถานภาพเท่าเทียมกัน แบ่งออกเป็น 3 แบบดังนี้
1. แบบคู่ขนาน QUAL + QUAN หมายถึง การวิจัยเชิงคุณภาพและปริมาณดำเนินการเก็บข้อมูลไปพร้อมกัน
2. แบบสองช่วงลำดับ QUAL à QUAN หมายถึง การวิจัยเชิงคุณภาพดำเนินการเก็บข้อมูลก่อนและการวิจัยเชิงปริมาณตามมาภายหลัง
3. แบบสองช่วงลำดับ QUAN à QUAL หมายถึง การวิจัยเชิงปริมาณดำเนินการเก็บข้อมูลก่อนและการวิจัยเชิงคุณภาพตามมาภายหลัง
กรณีที่ 2 แบบแผนที่การวิจัยเชิงปริมาณและคุณภาพมีสถานภาพไม่เท่าเทียมกัน แบ่งออกเป็น 6 แบบ ดังนี้
4. แบบคู่ขนาน QUAL + quan หมายถึง การวิจัยเชิงคุณภาพและปริมาณดำเนินการไปพร้อมกัน แต่ให้ความสำคัญกับการวิจัยเชิงคุณภาพมากกว่าการวิจัยเชิงปริมาณ
5. แบบคู่ขนาน QUAN + qual หมายถึง การวิจัยเชิงปริมาณและคุณภาพดำเนินการไปพร้อมกัน แต่ให้ความสำคัญกับการวิจัยเชิงปริมาณมากกว่าการวิจัยเชิงคุณภาพ
6. แบบสองช่วงลำดับ QUAL à quan หมายถึง การวิจัยเชิงคุณภาพดำเนินการก่อนและการวิจัยเชิงปริมาณตามมาภายหลัง แต่ให้ความสำคัญกับการวิจัยเชิงคุณภาพมากกว่าการวิจัยเชิงปริมาณ
7. แบบสองช่วงลำดับ qual à QUAN หมายถึง การวิจัยเชิงคุณภาพดำเนินการก่อนและการวิจัยเชิงปริมาณตามมาภายหลัง แต่ให้ความสำคัญกับการวิจัยเชิงคุณภาพน้อยกว่าการวิจัยเชิงปริมาณ
8. แบบสองช่วงลำดับ QUAN à qual หมายถึง การวิจัยเชิงปริมาณดำเนินการก่อนและการวิจัยเชิงคุณภาพตามมาภายหลัง แต่ให้ความสำคัญกับการวิจัยเชิงปริมาณมากกว่าการวิจัยเชิงคุณภาพ
9. แบบสองช่วงลำดับ quan à QUAL หมายถึง การวิจัยเชิงปริมาณดำเนินการก่อนและการวิจัยเชิงคุณภาพตามมาภายหลัง แต่ให้ความสำคัญกับการวิจัยเชิงปริมาณน้อยกว่าการวิจัยเชิงคุณภาพ
B2 การศึกษาแบบรูปแบบผสมผสาน (mixed method studies) เป็นการออกแบบการวิจัยที่ไม่ได้คำนึงถึงเพียงแค่การผสมผสานวิธีการที่แตกต่างกันตามกระบวนทัศน์ที่แตกต่างกันเท่านั้น แต่ยังคำนึงถึงการผสมผสานระเบียบวิธีวิทยา (mixes of methodology) ของแต่ละกระบวนทัศน์อย่างเหมาะสมด้วย ซึ่งพิจารณาดังนี้ (โกศล มีคุณ, 2551: 32)
รูปแบบผสมผสานแบบที่ 1 เป็นการวิจัยที่ใช้วิธีเชิงปริมาณหรือคุณภาพในขั้นต่าง ๆ ของการวิจัย ขั้นละ 1 วิธี ซึ่งได้แก่
1. ในการกำหนดปัญหาการวิจัย ใช้วิธีการเชิงคุณภาพหรือเชิงปริมาณ
2. การจัดกระทำ/รวบรวมข้อมูล ใช้วิธีการเชิงคุณภาพหรือเชิงปริมาณ
3. การวิเคราะห์และการอ้างอิง ใช้วิธีการเชิงคุณภาพหรือเชิงปริมาณ
รูปแบบผสมผสานแบบที่ 2 เป็นการวิจัยที่ใช้วิธีเชิงปริมาณและ/หรือคุณภาพในขั้นต่าง ๆ ของการวิจัย อย่างน้อยขั้นละ 1 วิธี ซึ่งได้แก่
1. ในการกำหนดปัญหาการวิจัย ใช้วิธีการเชิงคุณภาพและ/หรือเชิงปริมาณ
2. การจัดกระทำ/รวบรวมข้อมูล ใช้วิธีการเชิงคุณภาพและ/หรือเชิงปริมาณ
3. การวิเคราะห์และการอ้างอิง ใช้วิธีการเชิงคุณภาพและ/หรือเชิงปริมาณ
ขั้นตอนการวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Methods Research Process)
การวิจัยแบบผสมผสาน (mixed method research) ประกอบด้วยขั้นตอน ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 การกำหนดคำถามการวิจัย ผู้วิจัยอาจจะตั้งคำถามการวิจัยเพียงหนึ่งคำถามซึ่งมีลักษณะที่เป็นทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ หรือจะตั้งคำถามการวิจัยหลายคำถามซึ่งอาจจะแยกเป็นคำถามเชิงปริมาณและคำถามเชิงคุณภาพ
ขั้นตอนที่ 2 การกำหนดวัตถุประสงค์ของการวิจัย ผู้วิจัยสามารถตั้งวัตถุประสงค์ของการศึกษาไว้ข้อเดียวหรือหลายข้อ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับคำถามการวิจัย
ขั้นตอนที่ 3 การเลือกระเบียบวิธีในการวิจัยว่า ควรเป็นแบบวิธีผสมผสาน (mixed method studies) หรือเป็นแบบรูปแบบผสมผสาน (mixed model studies) ซึ่งผู้วิจัยต้องพิจารณาเลือกการวิจัยที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการตอบคำถามการวิจัยให้ถูกต้อง แม่นยำ น่าเชื่อถือ และมีความเป็นไปได้ในการปฏิบัติงานวิจัย โดยคำนึงถึงองค์ประกอบที่สำคัญ ได้แก่ เวลาที่เหมาะสม การให้ค่าน้ำหนักของข้อมูลเชิงปริมาณหรือคุณภาพ การผสมผสานวิธีการ ตลอดจนความลึกซึ้งในทฤษฎีและแนวความคิดที่เกี่ยวข้อง
ขั้นตอนที่ 4 การเก็บรวบรวมข้อมูลใช้วิธีการเชิงคุณภาพและ/หรือเชิงปริมาณ
ขั้นตอนที่ 5 การวิเคราะห์ข้อมูลใช้วิธีการเชิงคุณภาพและ/หรือเชิงปริมาณ โดยสอดคล้องกับวัตถุประสงค์หรือคำถามของการวิจัย
ขั้นตอนที่ 6 การตีความหรือแปลผลข้อมูล ใช้วิธีการเชิงคุณภาพและ/หรือเชิงปริมาณ
ขั้นตอนที่ 7 การประเมินความถูกต้อง เชื่อถือได้ของข้อมูลทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ
ขั้นตอนที่ 8 การสรุปผลและการจัดทำรายงานการวิจัย
ข้อจำกัดของการวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Methods Research)
1. มีความยุ่งยากในการดำเนินการ ถ้ามีนักวิจัยเพียงคนเดียวที่จะต้องดำเนินการวิจัยทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ โดยเฉพาะหากต้องดำเนินการวิจัยทั้งสองประเภทในเวลาเดียวกัน อาจจำเป็นต้องมีทีมวิจัย
2. ผู้วิจัยต้องเรียนรู้การวิจัยทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ และต้องรู้จักการผสมผสานวิธีให้เหมาะสม
3. เสียค่าใช้จ่ายสูง
4. ใช้ระยะเวลายาวนาน
5. รายละเอียดบางประการของการวิจัยแบบผสมผสาน ยังไม่มีนักวิธีวิทยาทางวิจัยที่สามารถอธิบายได้ชัดเจน (เช่น ปัญหาของกระบวนทัศน์ที่มีการผสมผสาน การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณแบบเชิงคุณภาพ การตีความผลการวิจัยที่มีความขัดแย้ง เป็นต้น)
การวิจัยสถาบัน
ความหมายของการวิจัยสถาบัน
การวิจัยสถาบัน (institutional research) หมายถึง การวิจัยรูปแบบหนึ่งที่จัดทำในองค์การโดยมุ่งศึกษาตนเอง เพื่อให้ได้ข้อมูลและสารสนเทศสำหรับการกำหนดนโยบาย การวางแผน และการตัดสินใจแก้ปัญหาในการบริหารองค์การ รวมทั้งการประกันคุณภาพการศึกษา ซึ่งแตกต่างจากการวิจัยพื้นฐานทั่วไป (basic research) ที่มุ่งแสวงหาความรู้ใหม่ ด้วยเหตุนี้ การวิจัยสถาบันของแต่ละองค์การจึงต้องการผลการวิจัยที่รวดเร็ว ทันเวลาที่จะใช้ และมีคุณภาพเชื่อถือได้
ความสำคัญและประโยชน์ของการวิจัยสถาบัน
การวิจัยสถาบันมีความสำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการบริหารจัดการองค์การให้มีคุณภาพ เพราะเป็นการวิจัยที่มุ่งศึกษาในเรื่องเกี่ยวข้องกับองค์การโดยตรง โดยช่วยจัดหาข้อมูลหรือสารสนเทศที่เป็นระบบเชื่อถือได้และทันต่อความต้องการของผู้บริหาร ช่วยให้ผู้บริหารเข้าใจสภาพของสถาบัน และมองเห็นแนวปฏิบัติในการกำหนดนโยบายและดำเนินงานในการพัฒนาองค์การให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
สำหรับองค์การทางการศึกษา อาจกล่าวได้ว่าการวิจัยสถาบันมีประโยชน์ต่อการพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอน การบริหารจัดการสถานศึกษา และการประกันคุณภาพการศึกษา ตัวอย่างของโครงการวิจัยสถาบัน เช่น การติดตามผลบัณฑิตหรือการติดตามคุณภาพบัณฑิตที่จบการศึกษาจากสถาบัน การประเมินความพึงพอใจของนักเรียน/นักศึกษาที่มีต่อกระบวนการเรียนการสอนและการให้บริการต่าง ๆ ขององค์การทั้งในระหว่างเรียนและภายหลังจบการศึกษา การประเมินความพึงพอใจของพ่อแม่ผู้ปกครอง/นายจ้างที่มีต่อคุณภาพของนักเรียนหรือการปฏิบัติงานของบัณฑิต เป็นต้น
หลักการสำคัญของการวิจัยสถาบัน
กระบวนการวิจัยสถาบันมีหลักการสำคัญ ดังนี้
1. การกำหนดเป้าหมาย (purpose) การวิจัยสถาบันจะต้องมีเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ที่เฉพาะเจาะจง มีความชัดเจน และสามารถวัดได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกำหนดเป้าหมายควรมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันระหว่างการวิจัยสถาบันและการวางแผน
2. การดำเนินการวิจัยต้องให้ได้ผลที่รวดเร็วทันเวลาที่จะใช้และมีคุณภาพเชื่อถือได้
3. การสื่อความหมาย (communication) การนำเสนอข้อค้นพบของการวิจัยสถาบันสามารถสื่อความหมายได้หลายแบบ บางครั้งอาจนำเสนอด้วยปากเปล่าทางโทรศัพท์ซึ่งเป็นการตอบคำถามอย่างตรงไปตรงมา อย่างไรก็ตามการนำเสนอข้อมูลส่วนใหญ่ที่มีประสิทธิภาพอาจต้องใช้ตาราง แผนภูมิหรือกราฟประกอบ เนื่องจากผู้บริหารมีเวลาจำกัด การนำเสนอควรใช้ถ้อยคำที่สั้นกะทัดรัด แต่เข้าใจชัดเจนซึ่งอาจจัดทำในรูปของบันทึกข้อความหรือบันทึกความจำโดยย่อ (executive summary) อย่างไรก็ตามเพื่อประโยชน์ในการอ้างอิงอย่างละเอียดก็อาจนำเสนอในรูปรายงานฉบับสมบูรณ์ไว้ด้วย
4. การแปลหรือการตีความหมาย (interpretation) หมายถึง ความพยายามของผู้วิจัยที่จะทำการวิเคราะห์ข้อมูลจากงานวิจัยสถาบันโดยละเอียด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่ยังคลุมเครืออยู่ เพื่อจะได้ตีความตรงกัน อันจะเป็นประโยชน์ต่อการวางแผนหรือเสนอแนะเพื่อการกำหนดนโยบาย และการตัดสินใจของผู้บริหารต่อไป
5. การเขียนรายงาน (written report) เป็นผลผลิตที่สำคัญของการวิจัยสถาบัน ผู้วิจัยจะต้องพยายามเขียนให้ถูกต้อง ในรายงานอาจมีการชี้แนะเพื่อการกำหนดนโยบายและการตัดสินใจของผู้บริหารต่อไป
กระบวนการออกแบบการวิจัยสถาบัน
การวิจัยสถาบันอาจกล่าวได้ว่าเป็นการวิจัยประเภทการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (action research) ซึ่งมีวิธีการวิทยาการวิจัย (research methodology) ที่เป็นไปได้ทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ การวิจัยเชิงคุณภาพ และการวิจัยแบบผสมผสาน อย่างไรก็ตาม การวิจัยสถาบันมีประเด็นเสริมกระบวนการวิจัยหลักโดยสังเขป ดังนี้
1. ขั้นกำหนดปัญหาการวิจัย การกำหนดปัญหาการวิจัยสถาบันควรดำเนินการในรูปแบบของคณะกรรมการวิจัย ซึ่งเป็นตัวแทนมาจากหน่วยงานย่อยต่าง ๆ ในองค์การ ทั้งนี้เพื่อให้มีแนวคิดที่หลากหลายในการมองปัญหาและครอบคลุมหน่วยงานย่อยในองค์การ อันจะส่งผลให้ได้ข้อค้นพบไปประยุกต์ใช้สำหรับการวางแผนตัดสินใจหรือการแก้ปัญหาทั้งในระดับหน่วยงานย่อยและระดับองค์การ
2. ขั้นกำหนดวิธีการและการเก็บรวบรวมข้อมูล ขั้นนี้ไม่แตกต่างไปจากกระบวนการวิจัยทางสังคมศาสตร์ทั่ว ๆ ไป แต่มีข้อควรคำนึงคือ ขั้นการเก็บรวบรวมข้อมูลซึ่งจะต้องเก็บข้อมูลจากบุคคลในหน่วยงาน บางครั้งข้อคำถามอาจทำให้เกิดความรู้สึกว่าถูกประเมิน หรือเกิดความรู้สึกไม่ไว้วางใจกัน หรือเกิดความรู้สึกว่าถูกรบกวนเวลา หรือถูกเพิ่มงาน ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้จะมีผลต่อความสมบูรณ์ของข้อมูลในการวิจัยเป็นอย่างมาก
3. ขั้นการนำเสนอผลการวิจัย การนำเสนอหรือเผยแพร่ผลการวิจัยสถาบันจะแตกต่างจากผลงานวิจัยทางวิชาการทั่ว ๆ ไป โดยการวิจัยเชิงวิชาการเป็นเรื่องของการค้นพบข้อความรู้ใหม่ จึงมุ่งเผยแพร่โดยทั่วไปให้กว้างขวางที่สุด แต่การวิจัยสถาบันเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสถาบัน มุ่งนำผลไปใช้เพื่อการวางแผน การตัดสินใจ และการบริหาร ดังนั้นการเผยแพร่ผลงานวิจัยจึงต้องคำนึงถึงนโยบายและผลกระทบที่เกิดขึ้นด้วย ส่วนใหญ่แล้วการเผยแพร่มักจะเป็นไปในลักษณะการนำเสนอผู้บริหารหรือคณะกรรมการที่มีหน้าที่พิจารณาโดยตรงมากกว่าจะเป็นรายงานที่เผยแพร่ได้ทั่วไป ดังนั้น ผลการวิจัยสถาบันที่มีคุณค่า คือ ผลงานที่ดำเนินงานได้ทันเวลา ด้วยเทคนิควิธีที่เชื่อถือได้ และมีผู้นำผลงานไปใช้ ในการนำเสนอจึงต้องเน้นให้ผู้รับเข้าใจได้ง่าย กระชับ สามารถสื่อให้ผู้รับตระหนักถึงสภาวการณ์ที่เกิดขึ้นเพื่อการตัดสินใจดำเนินการได้ทันการณ์
จากแนวคิดที่นำเสนอดังกล่าว จะเห็นได้ว่าการวิจัยสถาบันเป็นการศึกษาตนเองเพื่อประโยชน์ของตนเองอันจะนำไปสู่การประกันคุณภาพขององค์การในอนาคต การวิจัยสถาบันจึงเป็นความท้าทายสำหรับนักบริหารการศึกษามืออาชีพที่ต้องการยกระดับคุณภาพขององค์การให้ได้คุณภาพมาตรฐานถึงในระดับสากล
ลักษณะของงานวิจัยที่ดี
1. งานวิจัยเป็นงานที่ต้องอาศัยความรู้ ความชำนาญ และความมีระบบ งานวิจัยเป็นงานที่มีเหตุผลและ เป้าหมาย2.งานวิจัยจะต้องมีเครื่องมือหรือเทคนิคในการเก็บรวบรวมข้อมูลที่มีความเที่ยงตรงและเชื่อถือได้
3.งานวิจัยจะต้องมีการรวบรวมข้อมูลใหม่และได้ความรู้ใหม่ กรณีที่ใช้ข้อมูลเดิมจุดประสงค์ต้องแตกต่าง ไปจากจุดประสงค์เดิม ความรู้ที่อาจไต้จากความรู้เดิมในกรณีที่มุ่งวิจัยเพื่อตรวจสอบซ้ำ
4.งานวิจัยมักเป็นการศึกษาค้นคว้าที่มุ่งข้อเท็จจริง เพื่อให้อธิบายรูปปรากฏการณ์หรือพัฒนา กฎเกณฑ์ ทฤษฎี หรือตรวจสอบทฤษฎี หรือพยากรณ์ปรากฏการณ์ต่าง ๆ หรือเพื่อแก้ปัญหาต่างๆ
5.งานวิจัยต้องอาศัยความเพียรพยายาม ความซื่อสัตย์ กล้าหาญ บางครั้งต้องเฝ้าติดตามและบันทึกผลอย่างละเอียด ใช้เวลานาน บางครั้งผลการวิจัยขัดแย้งกับความเชื่อของบุคคลอื่นอาจจะให้ใต้รับ การโจมตี ผู้วิจัยจำต้องใช้ความกล้าหาญ เสนอผลการวิจัยตามความ เป็นจริงที่ค้นพบ
6.งานวิจัยจะต้องมีการบันทึกและเขียนรายงานการวิจัยอย่างระมัดระวัง
หัวข้อวิจัย (ชื่อเรื่องวิจัย)
1.มีความชัดเจน อ่านเข้าใจ ง่าย ไม่คลุมเครือ2.ระบุขอบข่ายของปัญหาที่วิจัย
3.ไม่ใช้คำฟุ่มเฟือย
4.ไม่เขียนในรูปคำถาม
5.ไม่เขียนในรูปคำสรุปของ การวิจัย
6.ไม่ใช้ตัวย่อ
ภูมิหลังหรือความเป็นมา
1.กล่าวถึงปัญหาชัดเจนผู้อ่าน ทราบเจตนาในการวิจัย2.เหตุผลในการวิจัยชัดเจน และเป็นเหตุผลที่สำคัญ
3.มีรากฐานทางทฤษฎี และผลการวิจัยที่เกี่ยวข้อง
4.ใช้ภาษาชัดเจน
5.ไม่นำข้อความของคนอื่น ๆ มาเรียงต่อ ๆ กันไปโดยตลอด แต่จะมีกรอบความคิดของตนเอง และ มีคำ กล่าว ข้อสรุป ข้อเท็จจริง ผลการวิจัยของในเรื่องนั้น ประกอบเพื่อให้สาระมีนํ้าหนัก มีความถูกต้อง
จุดมุ่งหมายของการวิจัย
ระบุจุดมุ่งหมายของการวิจัยชัดเจนและครอบคลุม
ขอบเขตการวิจัย
กำหนดขอบเขตปัญหาการวิจัยอย่างชัดเจน (ระบุเกี่ยวกับประชากร กลุ่มตัวอย่าง ตัวแปร ฯลฯ)' นิยามศัพท์เฉพาะ
1.ให้นิยามตัวแปรและศัพท์ เฉพาะที่จำเป็นเพื่อให้ผู้อ่าน เข้าใจได้ตรงกัน
2.ไม่ให้คำนิยามคำที่ไม่จำเป็น
3.กรณีที่ให้นิยามตามที่พบใน ตำรา พจนานุกรม วารสาร ฯลฯ มีการอ้างอิงแหล่งที่มา ของนิยามนั้น ความสำคัญของการวิจัย
4..เขียนความสำคัญของการวิจัยไว้ชัดเจน ความสำคัญของการวิจัยที่ระบุไว้อยู่ในขอบเขตของการวิจัย เรื่องนั้น
การออกแบบวิจัย
ออกแบบวิจัยรัดกุม เลือกตัวแปรเหมาะสม
สมมุติฐานในการวิจัย (ถ้ามี)
1.กำหนดสมมุติฐานในการวิจัยชัดเจน และตอบสนอง จุดมุ่งหมายของการวิจัย
2.สมมุติฐานในการวิจัยที่ กำหนดไว้สร้างจากหลักของ เหตุผล มีรากฐานมาจาก ทฤษฎี แนวความคิด ที่ได้ ศึกษาค้นคว้ามาอย่างดี และ จากผลการวิจัยที่เกี่ยวข้อง3.เป็นสมมุติฐานที่สามารถ ทดสอบได้ การวิจัยครั้งนั้น จะทดสอบสมมุติฐาน ดังกล่าว
ทฤษฎีและงานวิจัยที่ เกี่ยวข้อง
1.คัดสรรเรื่องที่เกี่ยวข้องตรง กับเรื่องวิจัย สมควรอย่างยิ่ง ในการนำมาเสนออย่างเพียงพอ เรื่องไม่เกี่ยวข้องก็ไม่นำมากล่าว
2.เรียงลำดับการเสนอหัวข้อ เรื่องอย่างเหมาะสม
3.กล่าวถึงพัฒนาการของหลัก เหตุผล หรือทฤษฎีที่เป็น กรอบ (Theoretical frame Work)อ้างอิงมายัง ปัญหาที่ จะวิจัย
4.ภาษาที่เขียนเข้าใจง่ายเชื่อม โยงกันไปตามลำดับโดยตลอด
วิธีดำเนินการ1.กำหนดวิธีวิจัยที่เหมาะสม รอบคอบรัดกุม
2.อธิบายวิธีดำเนินการอย่าง ละเอียดชัดเจนเป็นไปตาม ลำดับที่เหมาะสม
3.กล่าวถึงประชากรของการ วิจัยอย่างชัดเจน (กรณีศึกษา ประชากรหรือ เก็บรวบรวม ข้อมูลจากกลุ่ม ตัวอย่างแล้ว สรุปอ้างอิงไปยังประชากร) และแสดงจำนวนกลุ่มตัว อย่าง จำแนกตามตัวแปร อิสระที่มุ่ง ศึกษา เช่น จำแนกตามเพศ วุฒิ เป็นต้น
4.อธิบายกระบวนการในเลือก สมาชิกกลุ่มตัวอย่างโดย ละเอียด ผู้อ่านเข้าใจชัดเจน ถึงวิธีการที่ปฏิบัติ โดยมีสมาชิกกลุ่มตัวอย่างที่เพียงพอ และวิธีการเลือกสมาชิกกลุ่ม ตัวอย่าง เป็นวิธีที่เหมาะสม
5.เครื่องมือที่ใช่ในการรวบรวมข้อมูลเป็นมาตรฐานมี ความเที่ยงตรง (Validity) สูง มีความเชื่อมั่น (Reliability) สูง มีวิธีการตรวจให้คะแนนที่เป็นมาตรฐาน (กรณีที่เป็นแบบตรวจให้คะแนน) กรณีที่ สร้างเครื่องมือเองไต้อธิบายวิธี การสร้างเครื่องมือประเภทนั้นอย่างชัดเจน (ระบุ วิธี การกำหนดจำนวนข้อ ลักษณะเครื่องมือตัวอย่าง การพิจารณาของผู้เชี่ยวชาญ การทดลองใช้ การตรวจสอบคุณภาพและตรวจให้ คะแนน (ถ้ามี) ฯลฯ)
การวิเคราะห์ข้อมูลและ แปลผล
1.การบันทึกข้อมูลทำด้วย ความระมัดระวังมีการตรวจทานไม่ให้ผิดพลาด2.วิเคราะห์ด้วยวิธีการทางสถิติ ที่เหมาะสมใช้สูตรถูกต้อง การเปิดตารางต่าง ๆ ทำไต้ ถูกต้อง
3.แปลผล ได้ถูกต้อง ใช้ภาษา รัดกุม
4.การเขียนรายงาน
5.ใช้ภาษาชัดเจนรัดกุมเขียน ถูกตามแบบฟอร์มที่เป็นที่ยอมรับ
6.มีความคงเส้นคงวาตลอดที่รายงาน
การอภิปรายผล
1.อภิปรายไต้เหมาะสมแสดง ถึงว่ามีการค้นคว้ามามาก ผู้วิจัยมีความรอบรู้
จรรยาบรรณนักวิจัย
ความเป็นมา
ปัจจุบันผลการวิจัยมีความสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมเป็นอย่างยิ่งหากงานวิจัยที่ปรากฏสู่สาธารณชน มีความเที่ยงตรง นำเสนอสิ่งที่เป็นความจริงสะท้อนให้เห็นสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างแท้จริงก็จะนำไปสู่การแก้ปัญหาได้ตรงจุดและมีประสิทธิภาพ การที่จะได้มาซึ่งงานวิจัยที่ดีมีคุณภาพจำเป็นต้องมีส่วนประกอบสำคัญหลายประการนอกจากการดำเนินตามระเบียบวิธีการวิจัย อย่างมีคุณภาพแล้วคุณธรรมหรือจรรยาบรรณของนักวิจัยเป็นปัจจัยสำคัญยิ่งประการหนึ่งคณะกรรมการสภาวิจัยแห่งชาติจึงริเริ่ม ดำเนินการยกร่างจรรยาบรรณนักวิจัยเพื่อเป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งประเทศเพื่อให้นักวิจัย นักวิชาการ ในสาขาต่างๆสามารถนำไป ปฏิบัติได้โดยผ่านกระบวนการขอรับความคิดเห็นจากนักวิจัย ผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาวิชาการต่างๆและได้ปรับปรุงให้เหมาะสมรัดกุม ชัดเจนจนกระทั่งได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการบริหารสภาวิจัยแห่งชาติ ประกาศใช้หลักเกณฑ์ควรประพฤติของนักวิจัยทั่วไป
วัตถุประสงค์
เพื่อเป็นแนวทางในการประพฤติปฏิบัติของนักวิจัยทั่วไป โดยมีลักษณะเป็นข้อพึงสังวรณ์มากกว่าจะเป็นข้อบังคับ อันจะนำไปสู่การเสริมสร้างจรรยาบรรณในหมู่นักวิจัยต่อไป
นิยาม
นักวิจัย หมายถึงผู้ที่ดำเนินการค้นคว้าหาความรู้อย่างเป็นระบบเพื่อตอบประเด็นที่สงสัยโดยมีระเบียบวิธีอันเป็นที่ยอมรับใน แต่ละศาสตร์ที่เกี่ยวข้องซึ่งครอบคลุมทั้งแนวคิด มโนทัศน์ และวิธีการที่ใช้ในการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล
จรรยาบรรณ หมายถึง หลักความประพฤติอันเหมาะสม แสดงถึงคุณธรรมและจริยธรรมในการประกอบอาชีพที่กลุ่มบุคคล แต่ละสาขาวิชาชีพประมวลขึ้นไว้เป็นหลัก เพื่อให้สมาชิกในสาขาวิชาชีพนั้นๆ ยึดถือปฏิบัติเพื่อรักษาชื่อเสียงและส่งเสริมเกียรติคุณ ของสาขาวิชาชีพของตน
จรรยาบรรณนักวิจัย หมายถึง หลักเกณฑ์ควรประพฤติปฏิบัติของนักวิจัยทั่วไปเพื่อให้การดำเนินงานวิจัยตั้งอยู่บนพื้นฐาน ของจริยธรรมและหลักวิชาการที่เหมาะสมตลอดจนประกันมาตรฐานของการศึกษาค้นคว้าให้เป็นไปอย่างสมศักดิ์ศรีและเกียรติ ภูมิของนักวิจัย
จรรยาบรรณนักวิจัย แนวทางปฏิบัติ
1.นักวิจัยต้องซื่อสัตย์และมีคุณธรรมในทางวิชาการและการจัดการนักวิจัยต้องมีความซื่อสัตย์ต่อตนเองไม่นำผลงานของผู้อื่นมาเป็นของตนไม่ลอกเลียนงานของผู้อื่น ต้องให้เกียรติและอ้างถึงบุคคลหรือแปล่ง ที่มาของข้อมูลที่นำมาใช้ในงานวิจัยต้องซื่อตรงต่อการแสวงหาทุนวิจัยและมีความเป็นธรรมเกี่ยวกับผลประโยชน์ที่ได้จากการวิจัย
2.นักวิจัยต้องตระหนักถึงพันธกรณีในการทำวิจัย ตามข้อตกลงที่ทำไว้กับหน่วยงานที่สนับสนุนการวิจัยและต่อหน่วยงานที่ตนสังกัดนักวิจัยต้องปฏิบัติตามพันธกรณีและข้อตกลงการวิจัยที่ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายยอมรับร่วมกันอุทิศเวลาทำงานวิจัยให้ได้ผลดี
3.นักวิจัยต้องมีพื้นฐาน ความรู้ในสาขาวิชาการที่ทำวิจัยนักวิจัยต้องมีพื้นฐานความรู้ในสาขาวิชาการที่ทำวิจัยอย่างเพียงพอและมีความรู้ความชำนาญหรือมีประสบการณ์เกี่ยวเนื่องกับเรื่องที่ทำวิจัยเพื่อนำไปสู่งานวิจัยที่มีคุณภาพและเพื่อป้องกันปัญหา
4.นักวิจัยต้องมีความรับผิดชอบต่อสิ่งที่ศึกษาวิจัยไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่มีชีวิตหรือไม่มีชีวิตนักวิจัยต้องดำเนินการด้วยความรอบคอบระมัดระวัง และเที่ยงตรงในการทำวิจัยที่เกี่ยวข้องกับคน สัตว์พืช ศิลปวัฒนธรรม ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม มีจิตสำนึกและมีปณิธานที่จะอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรม ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม
5.นักวิจัยต้องเคารพศักดิ์ศรี และสิทธิของมนุษย์ที่ใช้เป็นตัวอย่างในการวิจัยนักวิจัยต้องไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ ทางวิชาการจนละเลยและขาดความเคารพในศักดิ์ศรีของเพื่อนมนุษย์ต้องถือเป็นภาระหน้าที่ที่จะอธิบายจุดมุ่งหมายของการวิจัยแก่
6.นักวิจัยต้องมีอิสระทางความคิดโดยปราศจากอคติในทุกขั้นตอนของการทำวิจัยนักวิจัยต้องมีอิสระทางความคิด ต้องตระหนักว่า อคติส่วนตนหรือความลำเอียงทางวิชาการอาจส่งผลให้มีการบิดเบือนข้อมูลและ ข้อค้นพบทางวิชาการ อันเป็นเหตุให้เกิดผลเสียหายต่องานวิจัย
7.นักวิจัยพึงนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ในทางที่ชอบนักวิจัยพึงเผยแพร่ผลงานวิจัยเพื่อประโยชน์ทางวิชาการและสังคม ไม่ขยายผลจ้อค้นพบจนเกิดความเป็นจริง และไม่ใช้ผลงานวิจัยไปในทางมิชอบ
8.นักวิจัยพึงเคารพความคิดเห็นทางวิชาการของผู้อื่นนักวิจัยพึงมีใจกว้าง พร้อมทีจะเปิดเผยข้อมูล และขั้นตอนการวิจัย ยอมรับฟังความคิดเห็นและเหตุผลทางวิชาการของผู้อื่นและพร้อมที่จะปรับปรุง แก้ไขงานวิจัยของตนให้ถูกต้อง
9.นักวิจัยพึงมีความรับผิดชอบต่อสังคมทุกระดับนักวิจัยถึงมีจิตสำนึกที่จะอุทิศกำลังสติปัญญาในการทำวิจัยเพื่อความก้าวหน้าทางวิชาการเพื่อความเจริญและประโยชน์สุขของสังคมและมวลมนุษยชาติ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น